
ในปัจจุบัน เราอาจได้ยินข่าวเกี่ยวกับการหลอกลวงในรูปแบบต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการหลอกลวงทางออนไลน์ การหลอกลวงในการซื้อขายสินค้า หรือแม้แต่การหลอกลวงในการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนต่างๆ โดยทั้งหมดนี้ล้วนเข้าข่ายความผิดทางกฎหมายที่เรียกว่า คดีฉ้อโกง ทั้งสิ้น
โดยบทความนี้ Jirawat & Associates จะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงให้มากขึ้น ทั้งความหมาย ลักษณะของความผิด บทลงโทษ รวมถึงแนวทางในการดำเนินการเมื่อตกเป็นผู้เสียหายจากการฉ้อโกง
คดีฉ้อโกงคืออะไร
คดีฉ้อโกง เป็นความผิดในทางกฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้องกับการใช้กลอุบายล่อลวงบุคคลอื่น ด้วยวิธีการนำเสนอข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริง หรือการตั้งใจปิดบังข้อเท็จจริงที่ควรเปิดเผย โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์หรือทรัพย์สินจากผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ หรือเพื่อชักจูงให้บุคคลผู้นั้นกระทำการที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเอกสารสิทธิ์ที่เกี่ยวข้อง
โดยการจะพิจารณาว่าการกระทำใดเข้าข่ายเป็นการฉ้อโกงหรือไม่นั้น จุดสังเกตแรกคือ ต้องมีการวางแผนทุจริตไว้ล่วงหน้า มีการใช้กลวิธีต่างๆ ที่ทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิด โดยการกล่าวอ้างเรื่องราวที่ไม่เป็นความจริงในอดีตหรือปัจจุบัน และถึงแม้จะเป็นเพียงการให้สัญญาเกี่ยวกับอนาคต แต่หากมีรากฐานจากการบิดเบือนสถานการณ์ในปัจจุบัน ก็จะถือว่าเข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกงเช่นกัน
นอกจากนี้ ยังมีการกระทำที่เรียกว่า “คดีฉ้อโกงเป็นปกติธุระ” ที่เป็นความผิดอาญาที่เกี่ยวข้องกับความผิดด้านการฟอกเงินด้วย โดยคำว่า “ปกติธุระ” หมายถึงการที่บุคคลมีพฤติกรรมกระทำความผิดซ้ำๆ กันมากกว่า 1 ครั้ง หรือมีเจตนาที่จะกระทำผิดอย่างต่อเนื่อง
คดีฉ้อโกงเป็นคดีแพ่งหรืออาญา
คดีฉ้อโกงเป็นคดีอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ที่ระบุว่า “ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
ตัวอย่างคดีฉ้อโกง มีแบบไหนบ้าง
คดีฉ้อโกงสามารถปรากฏขึ้นได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่การล่อลวงรายบุคคลไปจนถึงการหลอกลวงในวงกว้าง โดยตัวอย่างคดีฉ้อโกงที่พบเห็นได้บ่อย เช่น
1. การหลอกลวงในการซื้อขายสินค้า
เช่น การสั่งซื้อสินค้าออนไลน์แล้วได้รับสินค้าที่ไม่ตรงกับที่โฆษณาไว้ หรือไม่ได้รับสินค้าเลยหลังจากชำระเงิน ซึ่งนอกจากจะมีความผิดฐานฉ้อโกงแล้ว ยังอาจมีความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์อีกด้วย
2. การชักชวนให้ร่วมธุรกิจ
เช่น การชักจูงให้บุคคลเข้าร่วมเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าผ่านการนำเสนอภาพสินค้าที่น่าดึงดูด แต่เมื่อมีการโอนเงินและสั่งซื้อสินค้าแล้ว กลับจัดส่งสินค้าด้อยคุณภาพหรือไม่จัดส่งใดๆ เลย ส่งผลให้บุคคลนั้นเสียทรัพย์
3. การฉ้อโกงในธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์
เช่น การสวมรอยเป็นนายหน้าขายที่ดิน ชักจูงให้เจ้าของที่ดินลงนามในสัญญาจองหรือมัดจำ โดยชำระเงินเพียงบางส่วน ก่อนที่จะร่วมมือกับพวกพ้องดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์โดยไม่จ่ายเงินส่วนที่เหลือตามข้อตกลง
4. การเบี้ยวค่าบริการต่าง
เช่น การใช้บริการร้านอาหารหรือโรงแรมโดยมีความตั้งใจที่จะไม่ชำระเงิน หรือแอบอ้างว่าได้ทำการชำระเงินผ่านระบบดิจิทัลแล้ว ทั้งที่ยังไม่ได้ดำเนินการจริงๆ
5. การเอาเปรียบแรงงาน
เช่น กรณีการหลอกลวงให้ทำงานตามที่ตกลงไว้ หรือมีการร่างสัญญาทางธุรกิจ แต่เมื่อถึงเวลากลับไม่ทำตามข้อตกลง ไม่จ่ายค่าแรง หรือจ่ายน้อยกว่าที่ตกลงกันไว้ ถือเป็นความผิดฐานฉ้อโกงแรงงาน
อัตราโทษของคดีฉ้อโกงมีอะไรบ้าง
หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่าคดีฉ้อโกงติดคุกไหม หรือมีค่าหรับอย่างไรบ้าง โดยอัตราโทษของคดีฉ้อโกงแตกต่างกันไปตามความร้ายแรงและรูปแบบของการกระทำความผิด ดังนี้:
- คดีฉ้อโกงทั่วไป: ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับเงินไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341
- โทษคดีฉ้อโกงประชาชน: ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับเงินไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343
- คดีฉ้อโกงโดยอ้างตัวเป็นบุคคลอื่น หรือใช้ประโยชน์จากความไม่รู้ของผู้ถูกหลอกลวง: ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 342
- คดีฉ้อโกงค่าบริการร้านอาหาร หรือค่าห้องพัก: ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 345
คดีฉ้อโกงมีอายุความกี่ปี
ระยะเวลาการฟ้องร้องคดีฉ้อโกงจะมีการดำเนินคดีแบ่งเป็น 2 ช่วงหลักๆ คือ
- อายุความสำหรับการร้องทุกข์: ผู้เสียหายจะต้องดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์หรือยื่นฟ้องภายในระยะเวลา 3 เดือนนับจากวันที่ทราบการกระทำความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิด โดยหากพ้นกำหนดนี้ไป คดีจะหมดอายุความในทางอาญา และไม่สามารถดำเนินคดีได้อีก
- อายุความสำหรับการนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ: หลังจากมีการแจ้งความอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว เจ้าหน้าที่จะมีเวลา 10 ปีนับจากวันที่เกิดการกระทำความผิด ในการนำตัวผู้ต้องหาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมหรือฟ้องต่อศาล
คดีฉ้อโกง สามารถไกล่เกลี่ยได้ไหม
คดีฉ้อโกง สามารถไกล่เกลี่ยได้ ในเกือบทุกกรณี เนื่องจากถือเป็นความผิดอันยอมความได้ นั่นหมายความว่าทั้งฝ่ายผู้เสียหายและผู้กระทำความผิดมีโอกาสที่จะเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการชดใช้ค่าเสียหายหรือการคืนทรัพย์สิน อันจะนำไปสู่การยุติคดีโดยความสมัครใจ
อย่างไรก็ตาม การไกล่เกลี่ยจะมีข้อยกเว้นสำหรับความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ที่ไม่สามารถยอมความได้ เพราะอาจมีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคมในวงกว้าง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับคดีฉ้อโกง
กรณีที่ศาลมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดในคดีฉ้อโกง และจำเลยมีทรัพย์สินอยู่ในครอบครอง ศาลสามารถสั่งบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยเพื่อชดใช้ให้แก่ผู้เสียหายได้ แต่หากจำเลยไม่มีทรัพย์สิน ผู้เสียหายยังสามารถติดตามบังคับคดีได้ภายในระยะเวลา 10 ปี
เมื่อพบว่าตนเองถูกหลอกลวงโดยผู้ไม่หวังดี ผู้เสียหายควรรีบไปแจ้งความต่อสถานีตำรวจในพื้นที่ที่เกิดเหตุโดยเร็วที่สุด ภายใน 3 เดือนหลังจากรู้ตัว พร้อมนำหลักฐานที่เกี่ยวข้องไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่

คดีฉ้อโกงเป็นความผิดทางอาญาที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานเงินเดือนทั่วไป หรือนักธุรกิจ นักลงทุนก็สามารถตกเป็นเหยื่อของการฉ้อโกงได้ ดังนั้น การป้องกันตนเองจากการถูกฉ้อโกงก็เป็นสิ่งสำคัญ โดยการตรวจสอบข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจในเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินหรือการลงทุนต่างๆ เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดที่ผู้ไม่หวังดีใช้เป็นช่องโหว่หลอกลวงเราได้
สำหรับผู้ที่ต้องการจ้างทนายที่มีความเชี่ยวชาญในการว่าความคดีฉ้อโกง ทนายบ้านและคอนโด หรือที่ปรึกษากฎหมายสำหรับการจดทะเบียนพาณิชย์จดทะเบียนบริษัท สามารถติดต่อสำนักงานกฎหมาย Jirawat & Associates Law Office ได้ที่เบอร์ 093-251-4500 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.jirawatlawoffice.co.th