jirawatlawoffice

พื้นที่ปฏิบัติงานของเรา

คดีพาณิชย์และธุรกิจ

แนวทางสำหรับ SME และ Startup ในประเทศไทย

1. ข้อพิพาทการค้า จากสัญญาถึงการระงับข้อพิพาท

ข้อพิพาททางการค้าและธุรกิจ คือความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ไม่ว่าจะเป็นการผิดสัญญา ข้อพิพาทระหว่างผู้ถือหุ้น การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา หรือการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ในประเทศไทย กรอบกฎหมายหลักที่ใช้ในการจัดการข้อพิพาทเหล่านี้ประกอบด้วยกฎหมายสารบัญญัติ เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) ซึ่งเป็นรากฐานของสัญญาและนิติสัมพันธ์ทางธุรกิจ, กฎหมายวิธีสบัญญัติ เช่น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ป.วิ.พ.) ที่กำหนดกระบวนการดำเนินคดีในศาล และกฎหมายทางเลือกในการระงับข้อพิพาท เช่น พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545

โดยทั่วไป การระงับข้อพิพาทสามารถดำเนินการได้ผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ ศาลยุติธรรม , สถาบันอนุญาโตตุลาการ (Thai Arbitration Institute หรือ TAI) ซึ่งอยู่ภายใต้สำนักงานศาลยุติธรรม และสถาบันอนุญาโตตุลาการ (Thailand Arbitration Center หรือ THAC) ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระที่มุ่งเน้นการให้บริการระงับข้อพิพาทมาตรฐานสากล การเลือกช่องทางที่เหมาะสมตั้งแต่แรกเริ่มจึงเป็นกุญแจสำคัญทางกลยุทธ์

2. หุ้นส่วน–ผู้ถือหุ้นขัดแย้ง ทางออกทางกฎหมาย

สำหรับธุรกิจ SME และ Startup ข้อพิพาทระหว่างผู้ก่อตั้งหรือผู้ถือหุ้นอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานทั้งหมดของบริษัท ปัญหาที่พบบ่อย ได้แก่:

  • ภาวะชะงักงันในการบริหาร (Management Deadlock): เมื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงเท่ากันไม่สามารถตกลงกันได้
  • การใช้อำนาจโดยมิชอบของฝ่ายข้างมาก (Minority Shareholder Oppression): เช่น การลดสัดส่วนหุ้น (Share Dilution) หรือการไม่จ่ายเงินปันผลอย่างไม่มีเหตุผล
  • การละเมิดหน้าที่ของกรรมการ (Breach of Director’s Duties): กรรมการมีหน้าที่ต้องปฏิบัติด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและระมัดระวัง (Fiduciary Duty & Duty of Care)
  • สิทธิในการเข้าถึงข้อมูล: การปฏิเสธไม่ให้ผู้ถือหุ้นตรวจสอบเอกสารของบริษัท

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะ 22 ว่าด้วยหุ้นส่วนและบริษัท , เป็นกฎหมายหลักที่กำหนดสิทธิและหน้าที่ของหุ้นส่วนและผู้ถือหุ้น แนวทางการแก้ไขตามกฎหมายมีตั้งแต่การขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเพื่อระงับการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหาย, การเรียกร้องค่าเสียหายจากกรรมการ, ไปจนถึงการเจรจาซื้อหุ้นคืน (Buy-out) หรือในกรณีร้ายแรงที่สุดคือการยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งเลิกบริษัท

มุมมองสำหรับ SME/Startup: การป้องกันปัญหาที่ดีที่สุดคือการจัดทำ สัญญาผู้ถือหุ้น (Shareholders’ Agreement) หรือ สัญญาระหว่างผู้ก่อตั้ง (Founders’ Agreement) ที่ชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้น โดยควรกำหนดประเด็นสำคัญ เช่น การแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ, เงื่อนไขการโอนหุ้น (Vesting), และการโอนทรัพย์สินทางปัญญาที่สร้างขึ้นให้แก่บริษัท ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนข้อขัดแย้งที่อาจบานปลายเป็นคดีความ ให้กลายเป็นการหารือทางธุรกิจที่มีกรอบกติกาชัดเจน

3. สัญญาซื้อขาย/ตัวแทน/แฟรนไชส์ ประเด็นสำคัญ

ข้อพิพาทจากสัญญาทางการค้ามักเกิดจากความคลุมเครือของข้อตกลง ตัวอย่างปัญหาที่พบบ่อยในสัญญาแต่ละประเภทมีดังนี้:

  • สัญญาซื้อขาย/จัดหา (Sales/Supply): การส่งมอบสินค้าล่าช้า, คุณภาพไม่ตรงตามข้อกำหนด, หรือการไม่ชำระราคา สำหรับการค้าระหว่างประเทศ ข้อกำหนด Incoterms มีบทบาทสำคัญในการระบุจุดส่งมอบและความรับผิดในความเสี่ยง
  • สัญญาตัวแทน/จัดจำหน่าย (Agency/Distribution): ความขัดแย้งเรื่องขอบเขตพื้นที่ผูกขาด (Exclusivity), การกำหนดเป้าหมายยอดขาย, สิทธิและค่าชดเชยในการบอกเลิกสัญญา และข้อห้ามการแข่งขัน (Non-compete)
  • สัญญาแฟรนไชส์ (Franchise): ข้อพิพาทเกี่ยวกับค่าธรรมเนียม, การใช้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา (เครื่องหมายการค้า, ความลับทางการค้า), การสนับสนุนจากแฟรนไชส์ซอร์ และเงื่อนไขการต่อหรือยกเลิกสัญญา

นอกจาก ป.พ.พ. แล้ว แนวปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สขค.) อาจนำมาใช้กับสัญญาเหล่านี้ได้ โดยเฉพาะในกรณีที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งมีอำนาจต่อรองเหนือกว่าอย่างชัดเจน

4. ความลับทางการค้าและการแข่งขันไม่เป็นธรรม

ทรัพย์สินทางปัญญาที่จับต้องไม่ได้เป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจยุคใหม่ โดยเฉพาะสำหรับ Startup ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม กฎหมายสองฉบับที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง คือ:

  • พระราชบัญญัติความลับทางการค้า พ.ศ. 2545: คุ้มครองข้อมูลการค้าที่ (1) ไม่เป็นที่รู้จักโดยทั่วไป (2) มีมูลค่าในเชิงพาณิชย์ และ (3) เจ้าของได้ใช้ “มาตรการที่เหมาะสม” เพื่อรักษาไว้เป็นความลับ เช่น รายชื่อลูกค้า สูตรการผลิต หรือแผนธุรกิจ การนำความลับทางการค้าไปใช้หรือเปิดเผยโดยไม่ได้รับอนุญาตถือเป็นการละเมิด และเจ้าของสิทธิสามารถขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามและเรียกค่าเสียหายได้ โดยมีกรมทรัพย์สินทางปัญญา (DIP) เป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  • พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560: มาตรา 57 ของกฎหมายฉบับนี้ ห้ามมิให้ผู้ประกอบธุรกิจกระทำการใด ๆ อันเป็นการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมและก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ประกอบธุรกิจรายอื่น เช่น การใช้อำนาจต่อรองที่เหนือกว่าอย่างไม่เป็นธรรม หรือการให้ข้อมูลเท็จเพื่อทำลายชื่อเสียงของคู่แข่ง โดยมีสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สขค.) เป็นผู้กำกับดูแล

สำหรับธุรกิจ การคุ้มครองไม่ได้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่ต้องอาศัยมาตรการเชิงรุก เช่น การทำสัญญาไม่เปิดเผยข้อมูล (NDA), การควบคุมการเข้าถึงข้อมูล และการอบรมพนักงาน

5. ข้อพิพาทซัพพลายเชน/โลจิสติกส์

ความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทานสมัยใหม่นำมาซึ่งความเสี่ยงของข้อพิพาทในหลายขั้นตอน ตั้งแต่การจัดซื้อ, การผลิต, การขนส่ง, ไปจนถึงการจัดเก็บสินค้า ปัญหาที่พบบ่อยได้แก่:

  • การผิดสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง (Procurement)
  • ความล้มเหลวในการส่งมอบ หรือส่งมอบล่าช้า
  • สินค้าเสียหายระหว่างการขนส่ง
  • ข้อพิพาทด้านคุณภาพสินค้า
  • ค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด เช่น ค่าเสียเวลาของเรือหรือตู้สินค้า (Demurrage) และค่าคลังสินค้า

ในข้อพิพาทประเภทนี้ เอกสารหลักฐาน คือสิ่งสำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นใบสั่งซื้อ (PO), ใบตราส่งสินค้า (B/L), เอกสารรับรองคุณภาพ, และบันทึกการติดต่อสื่อสารทั้งหมด ธุรกิจที่เก็บรักษาเอกสารอย่างเป็นระบบมักจะอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบในการเจรจาหรือดำเนินคดี

6. แนวทางเชิงกลยุทธ์ในการระงับข้อพิพาททางธุรกิจในประเทศไทย

การจัดการข้อพิพาทไม่ใช่แค่เรื่องของกฎหมาย แต่เป็นเรื่องของกลยุทธ์ทางธุรกิจ สำหรับ SME และ Startup การชนะคดีแต่ธุรกิจต้องปิดตัวลงเพราะขาดสภาพคล่องไม่ใช่ชัยชนะที่แท้จริง ดังนั้น การวางแผนเชิงกลยุทธ์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

  • การประเมินสถานการณ์เบื้องต้น (Early Case Assessment): วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน ต้นทุน และโอกาสของผลลัพธ์ที่เป็นไปได้อย่างเป็นกลาง ก่อนตัดสินใจดำเนินการใดๆ
  • การเจรจาโดยไม่กระทบสิทธิ (Without-Prejudice Negotiation): พยายามหาข้อยุตินอกศาลก่อนที่สถานการณ์จะบานปลายและจุดยืนของแต่ละฝ่ายจะแข็งตัว
  • การวางแผนด้านทรัพยากร: การดำเนินคดีมีค่าใช้จ่ายทั้งด้านการเงินและเวลาของผู้บริหาร ซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีจำกัดสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก

เช็กลิสต์สำหรับ SME/Startup เมื่อเผชิญข้อพิพาท:

  • งบประมาณและกระแสเงินสด: เรามีเงินทุนเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายทางกฎหมายในระยะยาวหรือไม่?
  • ความต่อเนื่องทางธุรกิจ: ข้อพิพาทนี้จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานหลักและลูกค้าของเรามากน้อยเพียงใด?
  • ชื่อเสียงและการรักษาความลับ: เราต้องการให้เรื่องนี้เป็นความลับหรือไม่? ผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์คืออะไร?
  • ความพร้อมของเอกสาร: เรามีเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องครบถ้วนและเป็นระบบหรือไม่?
  • เป้าหมายที่แท้จริง: “ชัยชนะ” ของเราคืออะไร? คือตัวเงิน, คำสั่งห้าม, หรือการได้ข้อยุติที่รวดเร็วเพื่อให้เรากลับไปทำธุรกิจต่อได้?

7. การไกล่เกลี่ย–อนุญาโตตุลาการในธุรกิจ

การระงับข้อพิพาททางเลือก (Alternative Dispute Resolution – ADR) เป็นทางออกเชิงกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีความยืดหยุ่นและเป็นส่วนตัวมากกว่าการดำเนินคดีในศาล

  • การไกล่เกลี่ย (Mediation): คือกระบวนการเจรจาโดยมี “ผู้ไกล่เกลี่ย” ที่เป็นกลางคอยช่วยเหลือให้คู่พิพาทบรรลุข้อตกลงร่วมกัน กระบวนการนี้ไม่ผูกมัด เว้นแต่คู่กรณีจะลงนามในสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งสามารถนำไปบังคับใช้ตามกฎหมายได้
  • การอนุญาโตตุลาการ (Arbitration): คือกระบวนการที่คู่พิพาทตกลงให้ “คณะอนุญาโตตุลาการ” ซึ่งเป็นบุคคลที่สามที่ตนเลือก ทำหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแทนศาล คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการมีผลผูกพันและสามารถบังคับคดีได้ตามกฎหมาย สถาบันหลักในไทยคือ TAI และ THAC

8. การดำเนินคดีในศาล (Litigation): กระบวนการที่เป็นทางการและโปร่งใส

การดำเนินคดีในศาลยุติธรรมเป็นกระบวนการที่เป็นทางการและเปิดเผยต่อสาธารณะ มีขั้นตอนที่ชัดเจนตาม ป.วิ.พ. โดยสรุปดังนี้:

  1. ยื่นฟ้อง (Filing): โจทก์ยื่นคำฟ้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจ
  2. ส่งหมายเรียก (Service): ศาลส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยเพื่อยื่นคำให้การ
  3. นัดชี้สองสถาน และการไกล่เกลี่ย (Case Management Conference – CMC & Mediation): ศาลจะกำหนดประเด็นข้อพิพาทและวางแผนการสืบพยาน ในขั้นตอนนี้ศาลมักจะส่งเสริมให้คู่ความไกล่เกลี่ยกันก่อน
  4. การยื่นบัญชีระบุพยาน (Evidence Submission): คู่ความยื่นบัญชีพยานหลักฐานที่ประสงค์จะอ้างอิงต่อศาล
  5. การสืบพยาน (Trial/Hearings): การพิจารณาคดีในห้องพิจารณาโดยการนำพยานบุคคล พยานเอกสาร หรือพยานวัตถุเข้าสืบ
  6. คำพิพากษา (Judgment): ศาลมีคำพิพากษาชี้ขาดคดี
  7. การอุทธรณ์/ฎีกา (Appeals): คู่ความฝ่ายที่ไม่พอใจอาจมีสิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาไปยังศาลอุทธรณ์ และในบางกรณีอาจฎีกาไปยังศาลฎีกาได้

ระหว่างการพิจารณา คู่ความสามารถยื่นคำร้องขอมาตรการคุ้มครองชั่วคราวเพื่อบรรเทาความเสียหายได้

9. การอนุญาโตตุลาการ (Arbitration): ทางเลือกที่ยืดหยุ่นและเป็นส่วนตัว

การอนุญาโตตุลาการเป็นกระบวนการระงับข้อพิพาทภาคเอกชนที่คู่สัญญาตกลงกันไว้ล่วงหน้าในสัญญา (ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการ) มีหลักการสำคัญดังนี้:

  • ความเป็นอิสระของคู่สัญญา (Party Autonomy): คู่สัญญามีอิสระในการเลือกอนุญาโตตุลาการ, กฎเกณฑ์ที่จะใช้ (เช่น ข้อบังคับของ TAI หรือ THAC) , , ภาษา และสถานที่ในการดำเนินกระบวนพิจารณา
  • หลัก Competence-Competence: คณะอนุญาโตตุลาการมีอำนาจวินิจฉัยเขตอำนาจของตนเอง
  • การรักษาความลับ (Confidentiality): โดยทั่วไปกระบวนการพิจารณาและคำชี้ขาดจะเป็นความลับ ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ
  • การบังคับใช้ (Enforceability): คำชี้ขาดถือเป็นที่สุดและมีผลผูกพันคู่กรณี สามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อบังคับใช้ได้ตาม พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 สำหรับคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการต่างประเทศ สามารถบังคับใช้ในประเทศไทยได้ภายใต้อนุสัญญานิวยอร์ก

10. การไกล่เกลี่ย (Mediation): การหาข้อยุติร่วมกัน

การไกล่เกลี่ยเป็นกระบวนการที่เน้นการหาทางออกที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ (Win-Win Solution) โดยมีผู้ไกล่เกลี่ยทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการเจรจา ข้อดีที่สำคัญสำหรับ SME คือ:

  • ความรวดเร็วและประหยัด: ใช้เวลาน้อยกว่าและมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการดำเนินคดีหรืออนุญาโตตุลาการ
  • การรักษาความสัมพันธ์ทางธุรกิจ: เนื่องจากเป็นการหาข้อยุติร่วมกัน จึงมีโอกาสรักษาสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้าไว้ได้
  • การควบคุมผลลัพธ์: คู่พิพาทเป็นผู้ควบคุมผลลัพธ์สุดท้ายด้วยตนเอง ต่างจากการให้ผู้พิพากษาหรืออนุญาโตตุลาการเป็นผู้ตัดสิน
  • การบังคับใช้: หากคู่พิพาทตกลงกันได้และทำสัญญาประนีประนอมยอมความ สัญญานั้นสามารถนำไปยื่นต่อศาลเพื่อพิพากษาตามยอม ซึ่งจะมีผลบังคับได้เช่นเดียวกับคำพิพากษาของศาล

11. การเปรียบเทียบ Litigation vs. Arbitration: จะเลือกเส้นทางไหนดี?

การตัดสินใจเลือกระหว่างการดำเนินคดีในศาลและการอนุญาโตตุลาการขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อพิพาทและเป้าหมายทางธุรกิจ ตารางด้านล่างนี้เปรียบเทียบปัจจัยสำคัญเพื่อช่วยในการตัดสินใจ

ปัจจัย

การดำเนินคดีในศาล (Litigation)

การอนุญาโตตุลาการ (Arbitration)

ข้อควรพิจารณาสำหรับ SME/Startup

การรักษาความลับ

เปิดเผยต่อสาธารณะ

เป็นความลับ

การดำเนินคดีในศาลอาจกระทบต่อชื่อเสียงและเปิดเผยข้อมูลธุรกิจที่ละเอียดอ่อน

ความรวดเร็ว

อาจใช้เวลานานเนื่องจากมี 3 ชั้นศาล

โดยทั่วไปเร็วกว่า เนื่องจากมีเพียงชั้นเดียวและอุทธรณ์ได้จำกัด

ความรวดเร็วมีความสำคัญต่อกระแสเงินสดและการกลับไปดำเนินธุรกิจตามปกติ

ค่าใช้จ่าย

ค่าธรรมเนียมศาลคาดการณ์ได้ แต่ค่าทนายอาจสูงขึ้นตามระยะเวลาที่ยาวนาน

ค่าธรรมเนียมสถาบันและค่าตอบแทนอนุญาโตตุลาการอาจสูงในช่วงแรก แต่คาดการณ์ได้

ค่าใช้จ่ายสูงในช่วงแรกของการอนุญาโตตุลาการอาจเป็นภาระต่อสภาพคล่อง

การเลือกผู้ตัดสิน

ไม่สามารถเลือกผู้พิพากษาได้

คู่พิพาทสามารถเลือกอนุญาโตตุลาการที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านได้

การมีผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ตัดสินมีประโยชน์อย่างยิ่งในข้อพิพาททางเทคนิคที่ซับซ้อน

ความเป็นที่สุดของคดี

สามารถอุทธรณ์และฎีกาได้

คำชี้ขาดถือเป็นที่สุด อุทธรณ์ได้ในขอบเขตที่จำกัดมาก (เช่น กระบวนการไม่ชอบ)

ความเป็นที่สุดของการอนุญาโตตุลาการช่วยให้ธุรกิจคาดการณ์ผลและเดินหน้าต่อได้เร็วขึ้น

การบังคับใช้ข้ามพรมแดน

คำพิพากษาศาลไทยบังคับใช้ในต่างประเทศได้ยาก (ต้องฟ้องใหม่)

คำชี้ขาดบังคับใช้ได้ในกว่า 160 ประเทศภายใต้อนุสัญญานิวยอร์ก

สำหรับธุรกิจที่มีคู่ค้าต่างชาติ การอนุญาโตตุลาการมีข้อได้เปรียบด้านการบังคับใช้ที่ชัดเจน

12. การระงับข้อพิพาทข้ามพรมแดน

ข้อพิพาทที่มีคู่สัญญาหรือทรัพย์สินอยู่ต่างประเทศมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ:

  • กฎหมายที่ใช้บังคับ (Governing Law) และเขตอำนาจศาล (Jurisdiction): ข้อสัญญาเหล่านี้ในสัญญาเป็นตัวกำหนดว่ากฎหมายของประเทศใดจะถูกนำมาใช้ และศาลของประเทศใดจะมีอำนาจพิจารณาคดี
  • การบังคับใช้คำตัดสิน: จุดนี้คือความแตกต่างที่สำคัญที่สุด
    • คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการต่างประเทศ: สามารถนำมาบังคับใช้ในประเทศไทยได้โดยตรงตาม พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 หากคำชี้ขาดนั้นมาจากประเทศที่เป็นภาคีของอนุสัญญานิวยอร์ก
    • คำพิพากษาของศาลต่างประเทศ: ไม่สามารถ นำมาบังคับใช้ในประเทศไทยได้โดยตรง คู่ความที่ชนะคดีในศาลต่างประเทศจะต้องนำคดีมาฟ้องร้องใหม่ในศาลไทยอีกครั้ง โดยคำพิพากษาของศาลต่างประเทศนั้นจะใช้เป็นเพียงพยานหลักฐานชิ้นหนึ่งในการพิจารณาของศาลไทยเท่านั้น

ดังนั้น สำหรับสัญญาที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศ การกำหนดให้ระงับข้อพิพาทด้วยวิธีอนุญาโตตุลาการจึงเป็นทางเลือกที่ให้ความแน่นอนในการบังคับใช้มากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

13. สรุปเส้นทางข้อพิพาทธุรกิจ

ตารางต่อไปนี้สรุปขั้นตอนทั้งหมดของข้อพิพาททางธุรกิจ ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการบังคับคดี เพื่อให้เห็นภาพรวมของกระบวนการทั้งหมด

ขั้นตอน

รายละเอียด

1. ก่อนเกิดข้อพิพาท

การร่างและเจรจาสัญญา → การปฏิบัติตามสัญญา → เกิดเหตุการณ์ที่อาจนำไปสู่ข้อพิพาท (เช่น การผิดสัญญา)

2. ข้อพิพาทเกิดขึ้น

การแจ้งให้อีกฝ่ายทราบ → การประเมินสถานการณ์ภายในและรวบรวมเอกสาร → ความพยายามในการเจรจาหาข้อยุติ

3. การเลือกช่องทางระงับข้อพิพาท

ทางเลือก A: การดำเนินคดีในศาล ยื่นฟ้อง → ส่งหมาย → นัดชี้สองสถาน/ไกล่เกลี่ย → สืบพยาน → คำพิพากษา

ทางเลือก B: การอนุญาโตตุลาการ ยื่นคำเสนอข้อพิพาท → ตั้งคณะอนุญาโตตุลาการ → กำหนดแนวทางพิจารณา → สืบพยาน → คำชี้ขาด

4. หลังมีคำตัดสิน

การอุทธรณ์/ฎีกา (สำหรับการดำเนินคดีในศาล) หรือการยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาด (สำหรับการอนุญาโตตุลาการ ในขอบเขตจำกัด)

5. การบังคับคดี

ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอออกหมายบังคับคดี → เจ้าพนักงานบังคับคดี (กรมบังคับคดี) ดำเนินการยึด อายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

ไม่ได้ โดยหลักแล้ว การอนุญาโตตุลาการจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงกันไว้ล่วงหน้าในสัญญา หรือทำความตกลงกันใหม่หลังจากเกิดข้อพิพาทขึ้นแล้ว หากไม่มีข้อตกลงดังกล่าว การระงับข้อพิพาทจะต้องดำเนินคดีผ่านศาล

ระยะเวลาขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของคดีและช่องทางที่เลือก การไกล่เกลี่ยอาจจบในเวลาไม่กี่สัปดาห์หรือเดือน การอนุญาโตตุลาการมักใช้เวลา 6-18 เดือน ส่วนการดำเนินคดีในศาลอาจใช้เวลาหลายปีหากมีการต่อสู้คดีถึง 3 ชั้นศาล

ค่าใช้จ่ายหลักประกอบด้วย (1) ค่าธรรมเนียมศาลหรือค่าธรรมเนียมสถาบันอนุญาโตตุลาการ (2) ค่าทนายความ และ (3) ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าป่วยการพยานผู้เชี่ยวชาญ ค่าแปลเอกสาร และค่าเดินทาง

ได้ กฎหมายให้สิทธิแก่ทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน อย่างไรก็ตาม SME ควรประเมินความพร้อมด้านทรัพยากรและกลยุทธ์อย่างรอบคอบ บางกรณี การร้องเรียนไปยังหน่วยงานกำกับดูแล เช่น สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สขค.) อาจเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการฟ้องคดีโดยตรง

มาตรการคุ้มครองชั่วคราวคือคำสั่งของศาลที่ออกมาเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการพิจารณาคดี เช่น คำสั่งห้ามคู่กรณีโอนย้ายทรัพย์สิน หรือคำสั่งห้ามเปิดเผยความลับทางการค้า มาตรการนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาสถานะเดิมไว้และป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายที่แก้ไขไม่ได้ในภายหลัง

ฝากข้อความ

โปรดกรอกแบบฟอร์มแล้วเราจะติดต่อคุณโดยเร็วที่สุด

    Scroll to Top