jirawatlawoffice

พื้นที่ปฏิบัติงานของเรา

คดีอุบัติเหตุจราจรและประกันภัย

คู่มือการจัดการสถานการณ์และเคลมประกัน

การประสบ อุบัติเหตุรถยนต์ ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่สร้างความตึงเครียดและสับสนมากที่สุดในชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเกิดข้อพิพาทขึ้น ในช่วงเวลาแห่งความโกลาหลนั้น ผู้ประสบเหตุส่วนใหญ่มักไม่แน่ใจในสิทธิของตนเอง หรือขั้นตอนที่ถูกต้องตามกฎหมายในการจัดการสถานการณ์และการ เคลมประกัน 

บ่อยครั้งที่ผู้ประสบเหตุอาจเสียเปรียบในการเจรจากับบริษัทประกันภัย ซึ่งมีความพร้อมทางกฎหมายและบุคลากรมากกว่า การไม่ทราบสิทธิของตนเองอาจนำไปสู่การได้รับค่าสินไหมทดแทนที่ไม่เป็นธรรม หรือในกรณีที่เลวร้ายที่สุด คือการถูกปฏิเสธความคุ้มครอง

ในฐานะ ทนายความคดีอุบัติเหตุจราจร ที่มีความเชี่ยวชาญด้านคดีจราจรและประกันภัย สำนักงานกฎหมาย JIRAWAT & ASSOCIATES เข้าใจถึงความเดือดร้อนและความซับซ้อนที่คุณกำลังเผชิญ บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นคู่มือเบื้องต้นในการปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องตามกฎหมายไทย และชี้แนะแนวทางในการปกป้องสิทธิประโยชน์อันพึงมีพึงได้ของคุณ

5 ขั้นตอนแรกที่ต้องทำทันที ณ ที่เกิดเหตุ

สติ คือสิ่งสำคัญที่สุดหลังเกิดอุบัติเหตุ 2 การดำเนินการ 5 ขั้นตอนต่อไปนี้อย่างถูกต้อง ไม่เพียงแต่จะช่วยรักษาความปลอดภัย แต่ยังเป็นการรักษาสิทธิและหลักฐานสำคัญสำหรับกระบวนการเคลมประกัน

  1. ตั้งสติและตรวจสอบความปลอดภัย: ตรวจสอบตนเอง ผู้โดยสาร และคู่กรณีว่ามีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือไม่ 2 หากมีผู้บาดเจ็บ ให้รีบติดต่อหน่วยแพทย์ฉุกเฉินทันที จากนั้นจึงเปิดไฟฉุกเฉินหรือตั้งป้ายเตือนเพื่อป้องกันอุบัติเหตุซ้ำซ้อน 2
  2. ห้ามเคลื่อนย้ายรถ (หากไม่จำเป็น): พยายามรักษาสถานที่เกิดเหตุไว้ตามเดิมให้มากที่สุดเพื่อรอการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ประกันภัย เว้นแต่รถกีดขวางการจราจรอย่างรุนแรง หรือเป็นอุบัติเหตุเล็กน้อยที่สามารถตกลงกันได้
  3. แจ้งบริษัทประกันและเจ้าหน้าที่ตำรวจ: ติดต่อบริษัทประกันภัยของคุณทันที 1 เพื่อให้เจ้าหน้าที่สำรวจภัย (Surveyor) เดินทางมายังที่เกิดเหตุ หากมีผู้บาดเจ็บ หรือไม่สามารถตกลงกับคู่กรณีได้ (มีข้อโต้แย้งเรื่อง ฝ่ายผิดฝ่ายถูก) ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่เกิดเหตุทันที 3
  4. ถ่ายรูปและรวบรวมหลักฐาน: (รายละเอียดในหัวข้อถัดไป) ใช้โทรศัพท์มือถือบันทึกภาพความเสียหายและสภาพแวดล้อมโดยรอบ 4
  5. แลกเปลี่ยนข้อมูล (อย่างระมัดระวัง): แลกเปลี่ยนชื่อ, เบอร์โทรศัพท์, เลขทะเบียนรถ และชื่อบริษัทประกันภัย กับคู่กรณี 3

ข้อควรระวังทางกฎหมาย: ห้ามลงนามในเอกสารใดๆ ที่เป็นการ “ยอมรับผิด” โดยที่คุณยังไม่มั่นใจหรือยังไม่ได้ปรึกษาเจ้าหน้าที่ประกันภัยหรือทนายความ การยอมรับผิดในที่เกิดเหตุอาจส่งผลผูกพันทางกฎหมายและกระทบต่อสิทธิในการเคลมประกันทั้งหมดของคุณ

หลักฐานสำคัญ: ภาพ วิดีโอ พยาน

ในทางคดี หลักฐานคือหัวใจสำคัญที่จะตัดสินว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายประมาทและขอบเขตความรับผิดชอบ การรวบรวมหลักฐานตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้การเจรจาและการ เรียกค่าเสียหายจากอุบัติเหตุ เป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด

รายการหลักฐานที่ควรเก็บรวบรวม ณ ที่เกิดเหตุ 4:

  • ภาพถ่ายและวิดีโอ:
    • ภาพมุมกว้างของที่เกิดเหตุ (แสดงให้เห็นช่องจราจร สภาพอากาศ และตำแหน่งรถ)
    • ภาพความเสียหายของรถทุกคัน ทั้งมุมใกล้และมุมไกล 4
    • ภาพป้ายทะเบียนรถของคู่กรณี
    • ร่องรอยบนถนน เช่น รอยเบรก หรือเศษซากจากอุบัติเหตุ
  • กล้องหน้ารถ (Dashcam): หากรถของคุณมีกล้องบันทึกภาพ ให้เก็บรักษาไฟล์วิดีโอในขณะเกิดเหตุไว้ทันที
  • พยานบุคคล: หากมีผู้เห็นเหตุการณ์ ให้ขอชื่อและเบอร์โทรศัพท์ติดต่อไว้ 2
  • เอกสารราชการ:
    • บันทึกประจำวันจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ (หากมีการแจ้งความ)
    • ใบเคลม (Claim Form) ที่ออกโดยเจ้าหน้าที่สำรวจภัยของบริษัทประกัน 6
  • เอกสารทางการแพทย์ (หากมีผู้บาดเจ็บ):
    • ใบรับรองแพทย์ที่ระบุรายละเอียดการบาดเจ็บอย่างชัดเจน 3
    • ใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด

ทำความเข้าใจประกันภัยรถยนต์ของคุณ: พ.ร.บ. กับ ประกันภาคสมัครใจ

ในประเทศไทย รถยนต์ทุกคันอยู่ภายใต้ความคุ้มครอง 2 ส่วนหลัก ซึ่งมักสร้างความสับสนให้แก่ผู้ประสบเหตุ

1. ประกันภาคบังคับ (พ.ร.บ.)

  • ชื่ออย่างเป็นทางการคือ พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 7
  • เป็นประกันที่กฎหมาย “บังคับ” ให้รถทุกคันต้องมี 8
  • ขอบเขตความคุ้มครอง: พ.ร.บ. คุ้มครอง เฉพาะ “คน” (ชีวิตและร่างกาย) เท่านั้น 9 ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร หรือบุคคลภายนอก โดยจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้น (และค่าปลงศพ) โดย ไม่คำนึงว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิด
  • ข้อสำคัญ: พ.ร.บ. รถยนต์ (Keyword) ไม่คุ้มครอง ความเสียหายต่อ “ทรัพย์สิน” หรือ “รถยนต์” เลยแม้แต่บาทเดียว 9

2. ประกันภาคสมัครใจ (Voluntary Insurance)

  • คือประกันที่เจ้าของรถซื้อ “เพิ่มเติม” โดยสมัครใจ เพื่ออุดช่องว่างที่ พ.ร.บ. ไม่คุ้มครอง (เช่น ค่าซ่อมรถ) 8
  • ประเภทที่พบบ่อย:
    • ประกันชั้น 1: คุ้มครองครอบคลุมที่สุด ทั้งรถเรา (แม้ชนแบบไม่มีคู่กรณี เช่น ชนแล้วหนี หรือถอยชนเสา) รถคู่กรณี รวมถึงการสูญหายและไฟไหม้ 10
    • ประกันชั้น 2+ หรือ 3+: คุ้มครองรถคู่กรณี และคุ้มครองรถเรา เฉพาะในกรณี “รถชนกับยานพาหนะทางบก” เท่านั้น 2
    • ประกันชั้น 3: คุ้มครอง เฉพาะ ความเสียหายต่อรถยนต์และทรัพย์สินของ “คู่กรณี” เท่านั้น 10 ไม่คุ้มครองรถของเราเลย 11

กรณีศึกษา: "รถชนไม่มีประกันทำอย่างไร?"

สถานการณ์นี้เป็นปัญหาที่พบบ่อย 2 หากคุณเป็นฝ่ายถูก แต่คู่กรณี (ฝ่ายผิด) ไม่มีประกันภาคสมัครใจ (มีแต่ พ.ร.บ.):

  • หากคุณมีประกันชั้น 1 (หรือ 2+): บริษัทประกันของคุณจะรับผิดชอบค่าซ่อมรถให้คุณก่อน จากนั้นบริษัทประกันจะใช้สิทธิ “ไล่เบี้ย” (Subrogation) เพื่อฟ้องร้องเรียกเงินค่าซ่อมคืนจากคู่กรณีที่ไม่มีประกันเอง 2
  • หากคุณมีประกันชั้น 3: บริษัทประกันของคุณจะไม่จ่ายค่าซ่อมรถให้คุณ (เพราะประกันชั้น 3 ซ่อมแต่รถคู่กรณี) 2 ในกรณีนี้ คุณจะต้องรับผิดชอบค่าซ่อมรถของตัวเองไปก่อน และดำเนินการฟ้องร้องคดีแพ่ง (ฐานละเมิด) ต่อคู่กรณีด้วยตนเอง 13 นี่คือจุดที่ทนายความมีความจำเป็นอย่างยิ่ง

กระบวนการเคลมประกัน: ทีละขั้นตอน - เคลมประกัน: จากแจ้งเหตุถึงชดเชย

ขั้นตอนการเคลมประกันรถยนต์ (Keyword) โดยทั่วไปแบ่งเป็นการเคลมสด (ณ ที่เกิดเหตุ) และเคลมแห้ง (แจ้งภายหลัง) ในกรณีอุบัติเหตุที่มีคู่กรณี ส่วนใหญ่จะเป็นการ “เคลมสด” 

การแจ้งบริษัทประกันและการประเมินความเสียหาย

เมื่อเจ้าหน้าที่สำรวจภัยมาถึงที่เกิดเหตุและตรวจสอบแล้ว จะมีการออก ใบเคลม (Claim Form) ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่สุดในการติดต่ออู่ซ่อม 

  • เอกสารที่ต้องใช้ (ทั่วไป): ใบเคลม (ฉบับจริง), สำเนาทะเบียนรถ, สำเนาบัตรประชาชน, สำเนากรมธรรม์ (และสำเนาใบขับขี่) 
  • การประเมินความเสียหาย: คุณสามารถนำรถเข้าซ่อมที่ “อู่ในเครือ” ของบริษัทประกัน หรือ “อู่นอก/ศูนย์บริการ”  หากเลือกอู่นอกเครือ อาจต้องมีการคุมราคาโดยบริษัทประกัน หรือคุณอาจต้องสำรองจ่ายค่าซ่อมไปก่อนแล้วจึงนำใบเสร็จไปเบิกคืน

การเจรจากับคู่กรณีและเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ณ ที่เกิดเหตุ หากไม่สามารถตกลงกันได้ว่าใครเป็น ฝ่ายผิดฝ่ายถูก  ให้รอเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ประกันภัย การชี้ขาดของตำรวจในบันทึกประจำวัน (ซึ่งอ้างอิงตาม พระราชบัญญัติจราจรทางบก) จะเป็นหลักฐานสำคัญในการพิจารณาสินไหม

เมื่อเอกสารครบถ้วน บริษัทประกันจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาค่าสินไหม ตามประกาศของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) บริษัทประกันควรพิจารณาสินไหมทดแทน ดังนี้:

  • ค่าเสียหายเบื้องต้น (พ.ร.บ.): ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับเอกสารครบถ้วน 
  • ค่าสินไหมทดแทน (ภาคสมัครใจ): ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ตกลงกันได้และได้รับเอกสารครบถ้วน 

ปัญหาในทางปฏิบัติ (The Delay): หากคดีมีความซับซ้อน มีข้อโต้แย้ง หรือมีเหตุอันควรสงสัย คปภ. อนุญาตให้บริษัทประกันขยายระยะเวลาการสอบสวนออกไปได้ แต่โดยปกติไม่ควรเกิน 90 วัน 15 ช่องว่าง 90 วันนี้มักสร้างความเดือดร้อนให้ผู้ประสบเหตุที่ต้องรอค่าชดเชย และเป็นจุดที่ทนายความสามารถเข้ามาช่วยในการติดตามและเร่งรัดกระบวนการได้

อายุความคดีอุบัติเหตุ/ประกันภัย

นี่คือข้อกฎหมายที่สำคัญที่สุดที่ผู้ประสบเหตุมักเข้าใจผิดและพลาดพลั้งจนเสียสิทธิ “อายุความ” หรือกำหนดเวลาในการฟ้องคดีนั้น มีหลายส่วนและนับเวลาไม่เหมือนกัน

  1. คดีแพ่ง (ฐานละเมิด):
    • คืออะไร: การฟ้องร้อง “ตัวผู้ขับขี่ฝ่ายผิด” (คู่กรณี) เพื่อ เรียกค่าเสียหายจากอุบัติเหตุ
    • อายุความ: 1 ปี นับแต่วันที่ผู้เสียหาย “รู้” ถึงการละเมิด และ “รู้ตัว” ผู้กระทำผิด (ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448) 
  2. คดีสัญญาประกันภัย:
    • คืออะไร: การฟ้องร้อง “บริษัทประกันภัย” (ทั้งของตนเองหรือของคู่กรณี) เพื่อให้ชดใช้ตามกรมธรรม์
    • อายุความ: 2 ปี นับแต่ “วันเกิดเหตุ” (หรือ วันเกิดวินาศภัย) (ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 882) 
  3. คดีอาญา:
    • คืออะไร: คดีที่รัฐเป็นผู้ฟ้อง (เช่น ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นบาดเจ็บสาหัส หรือเสียชีวิต)
    • อายุความ: 10 ปี (กรณีบาดเจ็บสาหัส) 18 หรือ 15 ปี (กรณีชนแล้วหนี) 

กับดักทางกฎหมายที่ต้องระวัง (The Legal Trap)

ผู้เสียหายจำนวนมากเข้าใจผิดว่า ต้องรอให้ “คดีอาญา” (ซึ่งอาจใช้เวลา 1-2 ปี) สิ้นสุดลงก่อน และนำคำพิพากษาว่าคู่กรณีเป็นฝ่ายผิด ไปยื่นฟ้อง “บริษัทประกัน” เพื่อรับค่าสินไหม

ข้อเท็จจริงคือ: แนวคำพิพากษาศาลฎีกาได้วางบรรทัดฐานไว้ชัดเจน (เช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6758/2559 และ 1986/2538) 16 ว่า อายุความ 2 ปี ในการฟ้องบริษัทประกันนั้น เริ่มนับตั้งแต่วันเกิดเหตุ (วันเกิดวินาศภัย) 17 ไม่ใช่วันที่ศาลอาญามีคำพิพากษา

ผลลัพธ์คือ หากผู้เสียหายรอคดีอาญาจบ (เช่น ใช้เวลา 1 ปีครึ่ง) แล้วจึงไปฟ้องบริษัทประกัน คดีอาจ “ขาดอายุความ 2 ปี” ไปแล้ว ทำให้ศาลต้องยกฟ้อง และผู้เสียหายจะไม่ได้รับค่าสินไหมใดๆ จากบริษัทประกัน แม้ว่าจะมีหลักฐานชัดเจนว่าคู่กรณีเป็นฝ่ายผิดก็ตาม

นี่คือเหตุผลสำคัญที่ว่า ทำไมจึงควรปรึกษาทนายความคดีอุบัติเหตุจราจรทันที เพื่อวางแผนการดำเนินคดีแพ่งและคดีประกันภัย ควบคู่ไปกับคดีอาญา ก่อนที่จะหมดอายุความ

Roadmap คดีจราจร/ประกัน

เพื่อให้เห็นภาพรวมของกระบวนการทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ สามารถสรุปเป็นลำดับขั้นได้ดังนี้

ลำดับขั้น

กระบวนการ

บทบาทของ JIRAWAT & ASSOCIATES (หากจำเป็น)

1. เกิดเหตุ

แจ้งเหตุ (ตำรวจ/ประกัน), รวบรวมหลักฐาน 2

-

2. การสอบสวน

ตำรวจชี้ ฝ่ายผิดฝ่ายถูก 1, เจ้าหน้าที่ประกันประเมินเหตุ

วิเคราะห์หลักฐานโต้แย้ง หากการชี้ขาดไม่เป็นธรรม

3. การรักษา/ซ่อม

นำคนเจ็บส่ง รพ. (เบิก พ.ร.บ.), นำรถเข้าอู่ [6, 14]

-

4. การเจรจา

ยื่นเอกสาร เคลมประกัน 6, เจรจาค่าเสียหาย, ขั้นตอนการเคลมประกันรถยนต์

เป็นตัวแทนในการเจรจา (กรณีบาดเจ็บสาหัส/เสียชีวิต)

5. การเรียกค่าสินไหม

บริษัทประกันเสนอค่าชดเชย (ค่าซ่อม, ค่ารักษา)

ประเมินและเรียกร้อง "ค่าเสียหายที่มองไม่เห็น" เช่น:

- ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ

- ค่าขาดรายได้ระหว่างพักรักษาตัว

- ค่าเสียหายทางจิตใจ (กรณีร้ายแรง)

6. ข้อพิพาท

ประกันปฏิเสธ, จ่ายต่ำ, คดีซับซ้อน 19

(ดูหัวข้อถัดไป)

7. การดำเนินคดี

ฟ้องคดี (แพ่ง/อาญา/ประกัน) หากตกลงไม่ได้

เป็นทนายความฟ้องคดีต่อศาล

8. สิ้นสุด

รับค่าชดเชย / บังคับคดีตามคำพิพากษา

-

สิทธิที่คนมักลืม: “ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ”

ในระหว่างที่รถของคุณ (ในฐานะฝ่ายถูก) อยู่ในอู่เพื่อรอซ่อม คุณมีสิทธิเรียกร้องค่าใช้จ่ายในการเดินทางจากบริษัทประกันของคู่กรณีได้ 20

  • อัตราขั้นต่ำ (ตาม คปภ.): คปภ. ได้กำหนดอัตราขั้นต่ำเพื่อเป็นมาตรฐาน 20 ดังนี้:
    • รถยนต์ส่วนบุคคล (ไม่เกิน 7 ที่นั่ง): ไม่น้อยกว่าวันละ 500 บาท
    • รถยนต์รับจ้างสาธารณะ (ไม่เกิน 7 ที่นั่ง): ไม่น้อยกว่าวันละ 700 บาท
    • รถยนต์ขนาดเกิน 7 ที่นั่ง: ไม่น้อยกว่าวันละ 1,000 บาท
  • การเรียกร้องที่สูงกว่า: หากคุณมีค่าใช้จ่ายจริงที่สูงกว่าอัตราขั้นต่ำ (เช่น ค่าเช่ารถ หรือค่าเดินทางด้วยบริการอื่น) คุณสามารถรวบรวมใบเสร็จและหลักฐานเพื่อเรียกร้องตามจริงได้ 21 ทนายความสามารถช่วยในการรวบรวมเอกสารและเจรจาในส่วนนี้

เมื่อการเคลมประกันเกิดปัญหา: กรณีที่ต้องปรึกษาทนายความ

แม้กระบวนการส่วนใหญ่จะจบลงที่การเจรจา แต่มีหลายสถานการณ์ที่การ เคลมประกัน เกิดปัญหาซับซ้อน และการมี ทนายคดีอุบัติเหตุจราจร เข้ามาดูแลเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง:

  • ประกันปฏิเสธการจ่าย (Denial of Claim): บริษัทประกันอ้างข้อยกเว้นในกรมธรรม์ เช่น เมาแล้วขับ (แอลกอฮอล์เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์), ใช้รถในทางผิดกฎหมาย, หรือ (ในอนาคตอันใกล้ ตามเกณฑ์ใหม่ คปภ.) ผู้ขับขี่ไม่มีชื่อระบุในกรมธรรม์ 
  • ข้อเสนอชดเชยต่ำเกินไป: โดยเฉพาะในกรณีบาดเจ็บสาหัส, ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต ซึ่งการประเมินค่าขาดรายได้ในอนาคต หรือค่าเลี้ยงชีพ มีความซับซ้อน
  • ข้อโต้แย้งเรื่องฝ่ายผิดฝ่ายถูก: เมื่อหลักฐานไม่ชัดเจน และทั้งสองฝ่ายต่างอ้างว่าตนเป็นฝ่ายถูก
  • ถูกชนแล้วหนี (Hit-and-Run): หากคุณโดน ถูกชนแล้วหนีแจ้งความ 24 แต่คุณไม่มีประกันชั้น 1 (เช่น มีแค่ประกันชั้น 2+ หรือ 3+) บริษัทประกันจะไม่จ่ายค่าซ่อมรถให้คุณ 11 คุณจำเป็นต้องให้ทนายความช่วยติดตามคดีอาญาเพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมารับผิดทางแพ่ง
  • คู่กรณีไม่มีประกัน (Uninsured): ดังที่กล่าวไป 2 หากคุณมีเพียงประกันชั้น 3 คุณต้องดำเนินการฟ้องร้องคู่กรณีด้วยตนเอง
  • คดีมีความซับซ้อน: เช่น อุบัติเหตุหมู่ หรือคดีที่เกี่ยวพันกันทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา

สำนักงานกฎหมาย JIRAWAT & ASSOCIATES มีความเชี่ยวชาญใน ขอบเขตการให้บริการ ด้านคดีจราจรและประกันภัย เราเข้าใจว่าการเจรจากับบริษัทประกันอาจเป็นเรื่องที่น่ากังวล เราพร้อมเป็นตัวแทนของคุณในการเจรจาที่ซับซ้อนเหล่านี้

สรุป

การจัดการ อุบัติเหตุรถยนต์ ในประเทศไทย เกี่ยวข้องกับกฎหมาย 3 ส่วนหลัก: พ.ร.บ. จราจรทางบก (ซึ่งอาจเป็นคดีอาญา), ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (เรื่องละเมิดและอายุความ), และสัญญาประกันภัย (พ.ร.บ. และภาคสมัครใจ)

การ เคลมประกัน อาจไม่ง่ายเสมอไป โดยเฉพาะเมื่อมีการบาดเจ็บร้ายแรงหรือข้อพิพาทเรื่องความรับผิด การทราบสิทธิของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “อายุความ” ที่แตกต่างกันในการฟ้องคดี 17 เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการปกป้องผลประโยชน์ของคุณ

หากคุณหรือบุคคลใกล้ชิดประสบอุบัติเหตุและกำลังเผชิญปัญหาในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน JIRAWAT & ASSOCIATES LAW OFFICE พร้อมให้คำปรึกษาเบื้องต้นเพื่อประเมินสิทธิและแนวทางการดำเนินการ ติดต่อเราเพื่อรับการประเมินโดย ทนายอุบัติเหตุ ผู้มีประสบการณ์

 

แหล่งอ้างอิง:

  • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ว่าด้วย ละเมิด และ ประกันภัย)
  • พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535
  • พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522
  • สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)

ฝากข้อความ

โปรดกรอกแบบฟอร์มแล้วเราจะติดต่อคุณโดยเร็วที่สุด

    Scroll to Top