พื้นที่ปฏิบัติงานของเรา
คดีอุบัติเหตุจราจรและประกันภัย
การประสบ อุบัติเหตุรถยนต์ ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่สร้างความตึงเครียดและสับสนมากที่สุดในชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเกิดข้อพิพาทขึ้น ในช่วงเวลาแห่งความโกลาหลนั้น ผู้ประสบเหตุส่วนใหญ่มักไม่แน่ใจในสิทธิของตนเอง หรือขั้นตอนที่ถูกต้องตามกฎหมายในการจัดการสถานการณ์และการ เคลมประกัน
บ่อยครั้งที่ผู้ประสบเหตุอาจเสียเปรียบในการเจรจากับบริษัทประกันภัย ซึ่งมีความพร้อมทางกฎหมายและบุคลากรมากกว่า การไม่ทราบสิทธิของตนเองอาจนำไปสู่การได้รับค่าสินไหมทดแทนที่ไม่เป็นธรรม หรือในกรณีที่เลวร้ายที่สุด คือการถูกปฏิเสธความคุ้มครอง
ในฐานะ ทนายความคดีอุบัติเหตุจราจร ที่มีความเชี่ยวชาญด้านคดีจราจรและประกันภัย สำนักงานกฎหมาย JIRAWAT & ASSOCIATES เข้าใจถึงความเดือดร้อนและความซับซ้อนที่คุณกำลังเผชิญ บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นคู่มือเบื้องต้นในการปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องตามกฎหมายไทย และชี้แนะแนวทางในการปกป้องสิทธิประโยชน์อันพึงมีพึงได้ของคุณ
5 ขั้นตอนแรกที่ต้องทำทันที ณ ที่เกิดเหตุ
สติ คือสิ่งสำคัญที่สุดหลังเกิดอุบัติเหตุ 2 การดำเนินการ 5 ขั้นตอนต่อไปนี้อย่างถูกต้อง ไม่เพียงแต่จะช่วยรักษาความปลอดภัย แต่ยังเป็นการรักษาสิทธิและหลักฐานสำคัญสำหรับกระบวนการเคลมประกัน
- ตั้งสติและตรวจสอบความปลอดภัย: ตรวจสอบตนเอง ผู้โดยสาร และคู่กรณีว่ามีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือไม่ 2 หากมีผู้บาดเจ็บ ให้รีบติดต่อหน่วยแพทย์ฉุกเฉินทันที จากนั้นจึงเปิดไฟฉุกเฉินหรือตั้งป้ายเตือนเพื่อป้องกันอุบัติเหตุซ้ำซ้อน 2
- ห้ามเคลื่อนย้ายรถ (หากไม่จำเป็น): พยายามรักษาสถานที่เกิดเหตุไว้ตามเดิมให้มากที่สุดเพื่อรอการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ประกันภัย เว้นแต่รถกีดขวางการจราจรอย่างรุนแรง หรือเป็นอุบัติเหตุเล็กน้อยที่สามารถตกลงกันได้
- แจ้งบริษัทประกันและเจ้าหน้าที่ตำรวจ: ติดต่อบริษัทประกันภัยของคุณทันที 1 เพื่อให้เจ้าหน้าที่สำรวจภัย (Surveyor) เดินทางมายังที่เกิดเหตุ หากมีผู้บาดเจ็บ หรือไม่สามารถตกลงกับคู่กรณีได้ (มีข้อโต้แย้งเรื่อง ฝ่ายผิดฝ่ายถูก) ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่เกิดเหตุทันที 3
- ถ่ายรูปและรวบรวมหลักฐาน: (รายละเอียดในหัวข้อถัดไป) ใช้โทรศัพท์มือถือบันทึกภาพความเสียหายและสภาพแวดล้อมโดยรอบ 4
- แลกเปลี่ยนข้อมูล (อย่างระมัดระวัง): แลกเปลี่ยนชื่อ, เบอร์โทรศัพท์, เลขทะเบียนรถ และชื่อบริษัทประกันภัย กับคู่กรณี 3
ข้อควรระวังทางกฎหมาย: ห้ามลงนามในเอกสารใดๆ ที่เป็นการ “ยอมรับผิด” โดยที่คุณยังไม่มั่นใจหรือยังไม่ได้ปรึกษาเจ้าหน้าที่ประกันภัยหรือทนายความ การยอมรับผิดในที่เกิดเหตุอาจส่งผลผูกพันทางกฎหมายและกระทบต่อสิทธิในการเคลมประกันทั้งหมดของคุณ
หลักฐานสำคัญ: ภาพ วิดีโอ พยาน
ในทางคดี หลักฐานคือหัวใจสำคัญที่จะตัดสินว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายประมาทและขอบเขตความรับผิดชอบ การรวบรวมหลักฐานตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้การเจรจาและการ เรียกค่าเสียหายจากอุบัติเหตุ เป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด
รายการหลักฐานที่ควรเก็บรวบรวม ณ ที่เกิดเหตุ 4:
- ภาพถ่ายและวิดีโอ:
- ภาพมุมกว้างของที่เกิดเหตุ (แสดงให้เห็นช่องจราจร สภาพอากาศ และตำแหน่งรถ)
- ภาพความเสียหายของรถทุกคัน ทั้งมุมใกล้และมุมไกล 4
- ภาพป้ายทะเบียนรถของคู่กรณี
- ร่องรอยบนถนน เช่น รอยเบรก หรือเศษซากจากอุบัติเหตุ
- กล้องหน้ารถ (Dashcam): หากรถของคุณมีกล้องบันทึกภาพ ให้เก็บรักษาไฟล์วิดีโอในขณะเกิดเหตุไว้ทันที
- พยานบุคคล: หากมีผู้เห็นเหตุการณ์ ให้ขอชื่อและเบอร์โทรศัพท์ติดต่อไว้ 2
- เอกสารราชการ:
- บันทึกประจำวันจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ (หากมีการแจ้งความ)
- ใบเคลม (Claim Form) ที่ออกโดยเจ้าหน้าที่สำรวจภัยของบริษัทประกัน 6
- เอกสารทางการแพทย์ (หากมีผู้บาดเจ็บ):
- ใบรับรองแพทย์ที่ระบุรายละเอียดการบาดเจ็บอย่างชัดเจน 3
- ใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด
ทำความเข้าใจประกันภัยรถยนต์ของคุณ: พ.ร.บ. กับ ประกันภาคสมัครใจ
ในประเทศไทย รถยนต์ทุกคันอยู่ภายใต้ความคุ้มครอง 2 ส่วนหลัก ซึ่งมักสร้างความสับสนให้แก่ผู้ประสบเหตุ
1. ประกันภาคบังคับ (พ.ร.บ.)
- ชื่ออย่างเป็นทางการคือ พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 7
- เป็นประกันที่กฎหมาย “บังคับ” ให้รถทุกคันต้องมี 8
- ขอบเขตความคุ้มครอง: พ.ร.บ. คุ้มครอง เฉพาะ “คน” (ชีวิตและร่างกาย) เท่านั้น 9 ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร หรือบุคคลภายนอก โดยจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้น (และค่าปลงศพ) โดย ไม่คำนึงว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิด
- ข้อสำคัญ: พ.ร.บ. รถยนต์ (Keyword) ไม่คุ้มครอง ความเสียหายต่อ “ทรัพย์สิน” หรือ “รถยนต์” เลยแม้แต่บาทเดียว 9
2. ประกันภาคสมัครใจ (Voluntary Insurance)
- คือประกันที่เจ้าของรถซื้อ “เพิ่มเติม” โดยสมัครใจ เพื่ออุดช่องว่างที่ พ.ร.บ. ไม่คุ้มครอง (เช่น ค่าซ่อมรถ) 8
- ประเภทที่พบบ่อย:
- ประกันชั้น 1: คุ้มครองครอบคลุมที่สุด ทั้งรถเรา (แม้ชนแบบไม่มีคู่กรณี เช่น ชนแล้วหนี หรือถอยชนเสา) รถคู่กรณี รวมถึงการสูญหายและไฟไหม้ 10
- ประกันชั้น 2+ หรือ 3+: คุ้มครองรถคู่กรณี และคุ้มครองรถเรา เฉพาะในกรณี “รถชนกับยานพาหนะทางบก” เท่านั้น 2
- ประกันชั้น 3: คุ้มครอง เฉพาะ ความเสียหายต่อรถยนต์และทรัพย์สินของ “คู่กรณี” เท่านั้น 10 ไม่คุ้มครองรถของเราเลย 11
กรณีศึกษา: "รถชนไม่มีประกันทำอย่างไร?"
สถานการณ์นี้เป็นปัญหาที่พบบ่อย 2 หากคุณเป็นฝ่ายถูก แต่คู่กรณี (ฝ่ายผิด) ไม่มีประกันภาคสมัครใจ (มีแต่ พ.ร.บ.):
- หากคุณมีประกันชั้น 1 (หรือ 2+): บริษัทประกันของคุณจะรับผิดชอบค่าซ่อมรถให้คุณก่อน จากนั้นบริษัทประกันจะใช้สิทธิ “ไล่เบี้ย” (Subrogation) เพื่อฟ้องร้องเรียกเงินค่าซ่อมคืนจากคู่กรณีที่ไม่มีประกันเอง 2
- หากคุณมีประกันชั้น 3: บริษัทประกันของคุณจะไม่จ่ายค่าซ่อมรถให้คุณ (เพราะประกันชั้น 3 ซ่อมแต่รถคู่กรณี) 2 ในกรณีนี้ คุณจะต้องรับผิดชอบค่าซ่อมรถของตัวเองไปก่อน และดำเนินการฟ้องร้องคดีแพ่ง (ฐานละเมิด) ต่อคู่กรณีด้วยตนเอง 13 นี่คือจุดที่ทนายความมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
กระบวนการเคลมประกัน: ทีละขั้นตอน - เคลมประกัน: จากแจ้งเหตุถึงชดเชย
ขั้นตอนการเคลมประกันรถยนต์ (Keyword) โดยทั่วไปแบ่งเป็นการเคลมสด (ณ ที่เกิดเหตุ) และเคลมแห้ง (แจ้งภายหลัง) ในกรณีอุบัติเหตุที่มีคู่กรณี ส่วนใหญ่จะเป็นการ “เคลมสด”
การแจ้งบริษัทประกันและการประเมินความเสียหาย
เมื่อเจ้าหน้าที่สำรวจภัยมาถึงที่เกิดเหตุและตรวจสอบแล้ว จะมีการออก ใบเคลม (Claim Form) ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่สุดในการติดต่ออู่ซ่อม
- เอกสารที่ต้องใช้ (ทั่วไป): ใบเคลม (ฉบับจริง), สำเนาทะเบียนรถ, สำเนาบัตรประชาชน, สำเนากรมธรรม์ (และสำเนาใบขับขี่)
- การประเมินความเสียหาย: คุณสามารถนำรถเข้าซ่อมที่ “อู่ในเครือ” ของบริษัทประกัน หรือ “อู่นอก/ศูนย์บริการ” หากเลือกอู่นอกเครือ อาจต้องมีการคุมราคาโดยบริษัทประกัน หรือคุณอาจต้องสำรองจ่ายค่าซ่อมไปก่อนแล้วจึงนำใบเสร็จไปเบิกคืน
การเจรจากับคู่กรณีและเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ณ ที่เกิดเหตุ หากไม่สามารถตกลงกันได้ว่าใครเป็น ฝ่ายผิดฝ่ายถูก ให้รอเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ประกันภัย การชี้ขาดของตำรวจในบันทึกประจำวัน (ซึ่งอ้างอิงตาม พระราชบัญญัติจราจรทางบก) จะเป็นหลักฐานสำคัญในการพิจารณาสินไหม
เมื่อเอกสารครบถ้วน บริษัทประกันจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาค่าสินไหม ตามประกาศของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) บริษัทประกันควรพิจารณาสินไหมทดแทน ดังนี้:
- ค่าเสียหายเบื้องต้น (พ.ร.บ.): ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับเอกสารครบถ้วน
- ค่าสินไหมทดแทน (ภาคสมัครใจ): ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ตกลงกันได้และได้รับเอกสารครบถ้วน
ปัญหาในทางปฏิบัติ (The Delay): หากคดีมีความซับซ้อน มีข้อโต้แย้ง หรือมีเหตุอันควรสงสัย คปภ. อนุญาตให้บริษัทประกันขยายระยะเวลาการสอบสวนออกไปได้ แต่โดยปกติไม่ควรเกิน 90 วัน 15 ช่องว่าง 90 วันนี้มักสร้างความเดือดร้อนให้ผู้ประสบเหตุที่ต้องรอค่าชดเชย และเป็นจุดที่ทนายความสามารถเข้ามาช่วยในการติดตามและเร่งรัดกระบวนการได้
อายุความคดีอุบัติเหตุ/ประกันภัย
นี่คือข้อกฎหมายที่สำคัญที่สุดที่ผู้ประสบเหตุมักเข้าใจผิดและพลาดพลั้งจนเสียสิทธิ “อายุความ” หรือกำหนดเวลาในการฟ้องคดีนั้น มีหลายส่วนและนับเวลาไม่เหมือนกัน
- คดีแพ่ง (ฐานละเมิด):
- คืออะไร: การฟ้องร้อง “ตัวผู้ขับขี่ฝ่ายผิด” (คู่กรณี) เพื่อ เรียกค่าเสียหายจากอุบัติเหตุ
- อายุความ: 1 ปี นับแต่วันที่ผู้เสียหาย “รู้” ถึงการละเมิด และ “รู้ตัว” ผู้กระทำผิด (ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448)
- คดีสัญญาประกันภัย:
- คืออะไร: การฟ้องร้อง “บริษัทประกันภัย” (ทั้งของตนเองหรือของคู่กรณี) เพื่อให้ชดใช้ตามกรมธรรม์
- อายุความ: 2 ปี นับแต่ “วันเกิดเหตุ” (หรือ วันเกิดวินาศภัย) (ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 882)
- คดีอาญา:
- คืออะไร: คดีที่รัฐเป็นผู้ฟ้อง (เช่น ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นบาดเจ็บสาหัส หรือเสียชีวิต)
- อายุความ: 10 ปี (กรณีบาดเจ็บสาหัส) 18 หรือ 15 ปี (กรณีชนแล้วหนี)
กับดักทางกฎหมายที่ต้องระวัง (The Legal Trap)
ผู้เสียหายจำนวนมากเข้าใจผิดว่า ต้องรอให้ “คดีอาญา” (ซึ่งอาจใช้เวลา 1-2 ปี) สิ้นสุดลงก่อน และนำคำพิพากษาว่าคู่กรณีเป็นฝ่ายผิด ไปยื่นฟ้อง “บริษัทประกัน” เพื่อรับค่าสินไหม
ข้อเท็จจริงคือ: แนวคำพิพากษาศาลฎีกาได้วางบรรทัดฐานไว้ชัดเจน (เช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6758/2559 และ 1986/2538) 16 ว่า อายุความ 2 ปี ในการฟ้องบริษัทประกันนั้น เริ่มนับตั้งแต่วันเกิดเหตุ (วันเกิดวินาศภัย) 17 ไม่ใช่วันที่ศาลอาญามีคำพิพากษา
ผลลัพธ์คือ หากผู้เสียหายรอคดีอาญาจบ (เช่น ใช้เวลา 1 ปีครึ่ง) แล้วจึงไปฟ้องบริษัทประกัน คดีอาจ “ขาดอายุความ 2 ปี” ไปแล้ว ทำให้ศาลต้องยกฟ้อง และผู้เสียหายจะไม่ได้รับค่าสินไหมใดๆ จากบริษัทประกัน แม้ว่าจะมีหลักฐานชัดเจนว่าคู่กรณีเป็นฝ่ายผิดก็ตาม
นี่คือเหตุผลสำคัญที่ว่า ทำไมจึงควรปรึกษาทนายความคดีอุบัติเหตุจราจรทันที เพื่อวางแผนการดำเนินคดีแพ่งและคดีประกันภัย ควบคู่ไปกับคดีอาญา ก่อนที่จะหมดอายุความ
Roadmap คดีจราจร/ประกัน
ลำดับขั้น | กระบวนการ | บทบาทของ JIRAWAT & ASSOCIATES (หากจำเป็น) |
|---|---|---|
1. เกิดเหตุ | แจ้งเหตุ (ตำรวจ/ประกัน), รวบรวมหลักฐาน 2 | - |
2. การสอบสวน | ตำรวจชี้ ฝ่ายผิดฝ่ายถูก 1, เจ้าหน้าที่ประกันประเมินเหตุ | วิเคราะห์หลักฐานโต้แย้ง หากการชี้ขาดไม่เป็นธรรม |
3. การรักษา/ซ่อม | นำคนเจ็บส่ง รพ. (เบิก พ.ร.บ.), นำรถเข้าอู่ [6, 14] | - |
4. การเจรจา | ยื่นเอกสาร เคลมประกัน 6, เจรจาค่าเสียหาย, ขั้นตอนการเคลมประกันรถยนต์ | เป็นตัวแทนในการเจรจา (กรณีบาดเจ็บสาหัส/เสียชีวิต) |
5. การเรียกค่าสินไหม | บริษัทประกันเสนอค่าชดเชย (ค่าซ่อม, ค่ารักษา) | ประเมินและเรียกร้อง "ค่าเสียหายที่มองไม่เห็น" เช่น: - ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ - ค่าขาดรายได้ระหว่างพักรักษาตัว - ค่าเสียหายทางจิตใจ (กรณีร้ายแรง) |
6. ข้อพิพาท | ประกันปฏิเสธ, จ่ายต่ำ, คดีซับซ้อน 19 | (ดูหัวข้อถัดไป) |
7. การดำเนินคดี | ฟ้องคดี (แพ่ง/อาญา/ประกัน) หากตกลงไม่ได้ | เป็นทนายความฟ้องคดีต่อศาล |
8. สิ้นสุด | รับค่าชดเชย / บังคับคดีตามคำพิพากษา | - |
สิทธิที่คนมักลืม: “ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ”
ในระหว่างที่รถของคุณ (ในฐานะฝ่ายถูก) อยู่ในอู่เพื่อรอซ่อม คุณมีสิทธิเรียกร้องค่าใช้จ่ายในการเดินทางจากบริษัทประกันของคู่กรณีได้ 20
- อัตราขั้นต่ำ (ตาม คปภ.): คปภ. ได้กำหนดอัตราขั้นต่ำเพื่อเป็นมาตรฐาน 20 ดังนี้:
- รถยนต์ส่วนบุคคล (ไม่เกิน 7 ที่นั่ง): ไม่น้อยกว่าวันละ 500 บาท
- รถยนต์รับจ้างสาธารณะ (ไม่เกิน 7 ที่นั่ง): ไม่น้อยกว่าวันละ 700 บาท
- รถยนต์ขนาดเกิน 7 ที่นั่ง: ไม่น้อยกว่าวันละ 1,000 บาท
- การเรียกร้องที่สูงกว่า: หากคุณมีค่าใช้จ่ายจริงที่สูงกว่าอัตราขั้นต่ำ (เช่น ค่าเช่ารถ หรือค่าเดินทางด้วยบริการอื่น) คุณสามารถรวบรวมใบเสร็จและหลักฐานเพื่อเรียกร้องตามจริงได้ 21 ทนายความสามารถช่วยในการรวบรวมเอกสารและเจรจาในส่วนนี้
เมื่อการเคลมประกันเกิดปัญหา: กรณีที่ต้องปรึกษาทนายความ
แม้กระบวนการส่วนใหญ่จะจบลงที่การเจรจา แต่มีหลายสถานการณ์ที่การ เคลมประกัน เกิดปัญหาซับซ้อน และการมี ทนายคดีอุบัติเหตุจราจร เข้ามาดูแลเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง:
- ประกันปฏิเสธการจ่าย (Denial of Claim): บริษัทประกันอ้างข้อยกเว้นในกรมธรรม์ เช่น เมาแล้วขับ (แอลกอฮอล์เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์), ใช้รถในทางผิดกฎหมาย, หรือ (ในอนาคตอันใกล้ ตามเกณฑ์ใหม่ คปภ.) ผู้ขับขี่ไม่มีชื่อระบุในกรมธรรม์
- ข้อเสนอชดเชยต่ำเกินไป: โดยเฉพาะในกรณีบาดเจ็บสาหัส, ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต ซึ่งการประเมินค่าขาดรายได้ในอนาคต หรือค่าเลี้ยงชีพ มีความซับซ้อน
- ข้อโต้แย้งเรื่องฝ่ายผิดฝ่ายถูก: เมื่อหลักฐานไม่ชัดเจน และทั้งสองฝ่ายต่างอ้างว่าตนเป็นฝ่ายถูก
- ถูกชนแล้วหนี (Hit-and-Run): หากคุณโดน ถูกชนแล้วหนีแจ้งความ 24 แต่คุณไม่มีประกันชั้น 1 (เช่น มีแค่ประกันชั้น 2+ หรือ 3+) บริษัทประกันจะไม่จ่ายค่าซ่อมรถให้คุณ 11 คุณจำเป็นต้องให้ทนายความช่วยติดตามคดีอาญาเพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมารับผิดทางแพ่ง
- คู่กรณีไม่มีประกัน (Uninsured): ดังที่กล่าวไป 2 หากคุณมีเพียงประกันชั้น 3 คุณต้องดำเนินการฟ้องร้องคู่กรณีด้วยตนเอง
- คดีมีความซับซ้อน: เช่น อุบัติเหตุหมู่ หรือคดีที่เกี่ยวพันกันทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา
สำนักงานกฎหมาย JIRAWAT & ASSOCIATES มีความเชี่ยวชาญใน ขอบเขตการให้บริการ ด้านคดีจราจรและประกันภัย เราเข้าใจว่าการเจรจากับบริษัทประกันอาจเป็นเรื่องที่น่ากังวล เราพร้อมเป็นตัวแทนของคุณในการเจรจาที่ซับซ้อนเหล่านี้
สรุป
การจัดการ อุบัติเหตุรถยนต์ ในประเทศไทย เกี่ยวข้องกับกฎหมาย 3 ส่วนหลัก: พ.ร.บ. จราจรทางบก (ซึ่งอาจเป็นคดีอาญา), ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (เรื่องละเมิดและอายุความ), และสัญญาประกันภัย (พ.ร.บ. และภาคสมัครใจ)
การ เคลมประกัน อาจไม่ง่ายเสมอไป โดยเฉพาะเมื่อมีการบาดเจ็บร้ายแรงหรือข้อพิพาทเรื่องความรับผิด การทราบสิทธิของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “อายุความ” ที่แตกต่างกันในการฟ้องคดี 17 เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการปกป้องผลประโยชน์ของคุณ
หากคุณหรือบุคคลใกล้ชิดประสบอุบัติเหตุและกำลังเผชิญปัญหาในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน JIRAWAT & ASSOCIATES LAW OFFICE พร้อมให้คำปรึกษาเบื้องต้นเพื่อประเมินสิทธิและแนวทางการดำเนินการ ติดต่อเราเพื่อรับการประเมินโดย ทนายอุบัติเหตุ ผู้มีประสบการณ์
แหล่งอ้างอิง:
- ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ว่าด้วย ละเมิด และ ประกันภัย)
- พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535
- พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522
- สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)
ฝากข้อความ
โปรดกรอกแบบฟอร์มแล้วเราจะติดต่อคุณโดยเร็วที่สุด