jirawatlawoffice

พื้นที่ปฏิบัติงานของเรา

คดีการค้าระหว่างประเทศ

สรุปครบ จบทุกข้อพิพาท ฟ้องศาลไหน? มีคดีอะไรบ้าง?

การทำธุรกิจข้ามพรมแดนเต็มไปด้วยโอกาสในการเติบโต แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงและข้อพิพาทที่ซับซ้อน ตั้งแต่การได้รับสินค้าไม่ตรงตามสัญญา ไปจนถึงปัญหาการชำระเงินผ่านเลตเตอร์ออฟเครดิต (L/C) หรือความเสียหายของสินค้าระหว่างการขนส่งทางทะเล

สำหรับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) หรือสตาร์ทอัพ (Startup) การเผชิญหน้ากับข้อพิพาททางการค้าระหว่างประเทศอาจเป็นเรื่องน่ากังวล เนื่องจากขาดความชัดเจนว่าควรจะเริ่มต้นอย่างไร ต้องฟ้องคดีที่ศาลไหน หรือควรใช้กระบวนการอนุญาโตตุลาการตามที่ระบุไว้ในสัญญา ความไม่แน่นอนนี้อาจนำไปสู่การเสียเวลาและค่าใช้จ่ายมหาศาล

1. ข้อพิพาทแบบไหน? ถึงจะกลายเป็น “คดีการค้าระหว่างประเทศ”

ไม่ใช่ทุกคดีที่มีคู่ความเป็นชาวต่างชาติจะถือเป็น “คดีการค้าระหว่างประเทศ” ตามกฎหมายไทยเสมอไป แต่จะต้องเป็นข้อพิพาททางแพ่งที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกิจกรรมทางการค้าข้ามพรมแดนตามที่กฎหมายกำหนด

ตัวอย่างสถานการณ์ที่เข้าข่ายคดีการค้าระหว่างประเทศ:

  • สินค้าชำรุดบกพร่อง: บริษัทไทยสั่งซื้อเครื่องจักรจากผู้ขายในประเทศเยอรมนี แต่เมื่อได้รับสินค้ากลับพบว่าเครื่องจักรมีคุณสมบัติไม่ตรงตามที่ระบุในสัญญาซื้อขาย (Sale and Purchase Agreement)
  • ปัญหาการชำระเงินผ่าน L/C: ผู้ส่งออกผลไม้ไทยส่งสินค้าไปยังผู้ซื้อในตะวันออกกลางโดยใช้ L/C เป็นหลักประกัน แต่ธนาคารของผู้ซื้อปฏิเสธการชำระเงินโดยอ้างว่าเอกสารที่ผู้ส่งออกยื่นมีความคลาดเคลื่อน (Discrepancy)
  • สินค้าเสียหายระหว่างขนส่ง: ตู้คอนเทนเนอร์บรรจุสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ขนส่งทางเรือจากท่าเรือแหลมฉบังไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รับความเสียหายเนื่องจากการจัดเรียงสินค้าในระวางเรือไม่เหมาะสม
  • ข้อพิพาทสัญญาตัวแทนจำหน่าย: บริษัทไทยถูกคู่ค้าในสิงคโปร์บอกเลิกสัญญาตัวแทนจำหน่ายอย่างไม่เป็นธรรม นำไปสู่ข้อพิพาทเรื่องค่าคอมมิชชั่นและสินค้าคงคลัง

เพื่อให้เข้าใจบริบทของข้อพิพาทเหล่านี้ การทำความรู้จักกับคำศัพท์สำคัญเป็นสิ่งจำเป็น:

  • กฎหมายที่ใช้บังคับ (Governing Law): กฎหมายของประเทศที่จะถูกนำมาใช้ในการตีความสัญญาและตัดสินข้อพิพาท
  • เขตอำนาจศาล (Jurisdiction/Venue): ข้อตกลงที่ระบุว่าข้อพิพาทจะต้องถูกนำขึ้นสู่ศาลของประเทศใด
  • ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการ (Arbitration Clause): ข้อตกลงที่กำหนดให้คู่สัญญาต้องระงับข้อพิพาทผ่านกระบวนการอนุญาโตตุลาการซึ่งเป็นองค์กรเอกชน แทนการฟ้องร้องต่อศาลสาธารณะ
  • INCOTERMS: ข้อกำหนดมาตรฐานทางการค้าที่ออกโดยสภาหอการค้านานาชาติ (ICC) เพื่อกำหนดหน้าที่ ความเสี่ยง และค่าใช้จ่ายของผู้ซื้อและผู้ขาย เช่น FOB, CIF
  • เลตเตอร์ออฟเครดิต (L/C): ตราสารทางการเงินที่ธนาคารของผู้ซื้อออกให้เพื่อรับรองการชำระเงินแก่ผู้ขาย หากผู้ขายปฏิบัติตามเงื่อนไขและยื่นเอกสารได้ถูกต้องครบถ้วน
  • ใบตราส่งสินค้า (Bill of Lading – B/L): เอกสารสำคัญในการขนส่งทางทะเล ทำหน้าที่เป็นทั้งใบรับสินค้า สัญญาขนส่ง และเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ในสินค้า

เช็กลิสต์สำหรับ SME/Startup ก่อนทำสัญญาการค้าระหว่างประเทศ

การเตรียมตัวที่ดีที่สุดคือการป้องกันปัญหาตั้งแต่ต้น SME และ Startup ควรตรวจสอบประเด็นเหล่านี้ในสัญญาก่อนลงนามเสมอ:

  • ช่องทางระงับข้อพิพาท: ตกลงกันชัดเจนว่าจะใช้ศาล (ของประเทศใด) หรืออนุญาโตตุลาการ?
  • กฎหมายที่ใช้บังคับ: จะใช้กฎหมายไทยหรือกฎหมายต่างประเทศ?
  • ภาษา: ภาษาใดที่จะใช้เป็นทางการในการสื่อสารและดำเนินคดี?
  • การเก็บรักษาหลักฐาน: มีการกำหนดแนวทางการเก็บเอกสารสำคัญทั้งหมดหรือไม่ (สัญญา, PO, Invoice, อีเมล, ข้อความแชท)?

2. ฟ้องที่ไหน? รู้จัก “ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง”

เมื่อเกิดข้อพิพาททางการค้าระหว่างประเทศขึ้น คำถามแรกที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญคือ “เราควรจะไปฟ้องคดีที่ศาลไหน?” สำหรับประเทศไทย คำตอบของคำถามนี้คือ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง (Central Intellectual Property and International Trade Court – IPIT Court)

ศาลแห่งนี้จัดตั้งขึ้นโดย พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศาลชำนัญพิเศษที่มีผู้พิพากษาซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญในคดีที่ซับซ้อนเป็นการเฉพาะ ซึ่งช่วยให้การพิจารณาคดีเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่าศาลแพ่งทั่วไป

ที่ตั้งและข้อมูลติดต่อ:

  • ที่อยู่: ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (อาคาร A) ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร
  • เว็บไซต์ทางการ: http://www.ipitc.coj.go.th

แม้ว่าเขตอำนาจหลักของศาลกลางจะครอบคลุมกรุงเทพมหานครและปริมณฑล แต่ในปัจจุบันยังไม่มีการจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศในภูมิภาคอื่น ทำให้ศาลกลางมีเขตอำนาจพิจารณาคดีได้ทั่วราชอาณาจักร

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคดีจะขึ้นสู่ศาลนี้เสมอไป การเลือกช่องทางที่ถูกต้องขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและข้อสัญญาเป็นสำคัญ

ตารางที่ 1 การเลือกช่องทางระงับข้อพิพาททางการค้าระหว่างประเทศ

ประเภทข้อพิพาท

ช่องทางที่เป็นไปได้

ข้อควรพิจารณาและฐานกฎหมาย

ผิดสัญญาซื้อขายระหว่างประเทศ

ศาลทรัพย์สินฯ (หากไม่มีข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการ)

ข้อดี: เป็นกระบวนการของรัฐ มีบรรทัดฐานคำพิพากษา ข้อเสีย: เปิดเผยต่อสาธารณะ ใช้เวลานานกว่า ฐานกฎหมาย: พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินฯ มาตรา 7(5)

ข้อพิพาทที่มีข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการ

อนุญาโตตุลาการ (เช่น TAI, THAC, ICC)

ข้อดี: เป็นความลับ ยืดหยุ่น คู่กรณีเลือกผู้ชี้ขาดได้ ข้อเสีย: ค่าใช้จ่ายอาจสูง สิทธิอุทธรณ์จำกัด ฐานกฎหมาย: พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 12

เรียกร้องค่าเสียหายจากการขนส่งทางทะเล

ศาลทรัพย์สินฯ

เป็นคดีชำนัญพิเศษที่มักฟ้องร้องในศาล ฐานกฎหมาย: พ.ร.บ. การรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 ; พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินฯ มาตรา 7(5)

การบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการต่างประเทศ

ศาลทรัพย์สินฯ

ศาลทำหน้าที่รับรองและออกคำบังคับให้คำชี้ขาดมีผลในไทย ฐานกฎหมาย: พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 12; อนุสัญญานิวยอร์ก 13

ร้องเรียนเรื่องการทุ่มตลาด (AD)

กระบวนการทางปกครอง (กรมการค้าต่างประเทศ) แล้วจึง ฟ้องคดีต่อศาลทรัพย์สินฯ

การไต่สวนเริ่มต้นที่หน่วยงานปกครอง ศาลจะพิจารณาความชอบด้วยกฎหมายของคำวินิจฉัยนั้น ฐานกฎหมาย: พ.ร.บ. ตอบโต้การทุ่มตลาดฯ พ.ศ. 2542

ตารางนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น การเลือกช่องทางที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและข้อสัญญาของแต่ละกรณี ควรปรึกษาทนายความเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง

3. เจาะลึก! ประเภทคดีการค้าระหว่างประเทศที่อยู่ในเขตอำนาจศาล

พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศฯ มาตรา 7 ได้ระบุประเภทคดีการค้าระหว่างประเทศที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลไว้อย่างชัดเจน ดังนี้

3.1 คดีแพ่งเกี่ยวกับการซื้อขาย/แลกเปลี่ยน/บริการระหว่างประเทศ

ครอบคลุมข้อพิพาทที่เกิดจากสัญญาซื้อขายสินค้า สัญญาจ้างผลิต หรือสัญญาให้บริการระหว่างประเทศ การเยียวยาความเสียหายอาจอยู่ในรูปของค่าเสียหาย (Damages) การบังคับให้ปฏิบัติตามสัญญา (Specific Performance) หรือคำสั่งห้าม (Injunction) สิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องทราบคือ ประเทศไทยยังไม่ได้เข้าเป็นภาคีของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสัญญาซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ (CISG) ดังนั้น ข้อพิพาทจะถูกตัดสินตามกฎหมายที่คู่สัญญาตกลงกันไว้ในสัญญา หรือหากไม่ได้ตกลงไว้ ก็จะใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยเป็นหลัก

3.2 คดีเกี่ยวกับการขนส่งระหว่างประเทศ

สำหรับข้อพิพาทที่เกี่ยวกับการขนส่งทางทะเล กฎหมายหลักที่ใช้บังคับคือ พระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 ข้อเรียกร้องที่พบบ่อยได้แก่ สินค้าเสียหาย สูญหาย หรือส่งมอบล่าช้า ประเด็นที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการคือ อายุความในการฟ้องคดี ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้เพียง 1 ปี นับแต่วันที่ส่งมอบสินค้าหรือควรจะได้ส่งมอบสินค้า หากไม่ยื่นฟ้องภายในกำหนดเวลาดังกล่าว สิทธิเรียกร้องจะขาดอายุความทันที

3.3 คดีเกี่ยวกับธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ

ข้อพิพาทส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับเลตเตอร์ออฟเครดิต (L/C) ซึ่งโดยทั่วไปจะมีการระบุให้นำ เอกสารและวิธีปฏิบัติที่สม่ำเสมอสำหรับเลตเตอร์ออฟเครดิต ฉบับที่ 600 (UCP 600) ของสภาหอการค้านานาชาติ (ICC) มาใช้บังคับ 8 แม้ UCP 600 จะไม่ใช่กฎหมายไทย แต่เป็นชุดของกฎเกณฑ์ที่เกิดจากข้อตกลง ซึ่งศาลไทยจะนำมาใช้ตีความสิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญาหากมีการอ้างอิงไว้ใน L/C นอกจากนี้ยังรวมถึงข้อพิพาทเกี่ยวกับทรัสต์รีซีท (Trust Receipt) และการโอนเงินระหว่างประเทศด้วย

3.4 คดีเกี่ยวกับการประกันภัยในการค้าระหว่างประเทศ

เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทตามกรมธรรม์ประกันภัยสินค้า (Cargo Insurance) หรือประกันภัยทางทะเล (Marine Insurance) เช่น กรณีที่บริษัทประกันปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทนโดยอ้างเหตุยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์

 

3.5 คดีเกี่ยวกับการทุ่มตลาด (Anti-Dumping) และการอุดหนุน (Subsidies)

เป็นมาตรการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศจากการค้าที่ไม่เป็นธรรม โดยผู้ผลิตในประเทศสามารถยื่นคำร้องต่อ กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้เปิดการไต่สวนว่ามีการนำเข้าสินค้าที่ถูกทุ่มตลาด (ขายในราคาต่ำกว่าราคาปกติในประเทศผู้ผลิต) หรือได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาลต่างประเทศหรือไม่ หากพบว่ามีจริง จะมีการเรียกเก็บอากรพิเศษ (AD/CVD Duties) ซึ่งคำวินิจฉัยสุดท้ายของกรมการค้าต่างประเทศสามารถถูกอุทธรณ์ต่อศาลทรัพย์สินฯ ได้

3.6 การบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ

เนื่องจากสัญญาการค้าระหว่างประเทศจำนวนมากกำหนดให้ระงับข้อพิพาทโดยการอนุญาโตตุลาการ เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้รับคำชี้ขาดที่ชนะคดี แต่คู่กรณีอีกฝ่ายไม่ปฏิบัติตาม ฝ่ายที่ชนะจะต้องยื่นคำร้องต่อศาลทรัพย์สินฯ เพื่อขอให้ รับรองและบังคับตามคำชี้ขาด นั้นประเทศไทยเป็นภาคี อนุสัญญานิวยอร์กว่าด้วยการยอมรับนับถือและการใช้บังคับซึ่งคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการต่างประเทศ ค.ศ. 1958 (New York Convention) ซึ่งอำนวยความสะดวกในการบังคับตามคำชี้ขาดที่ทำขึ้นในรัฐภาคีอื่น ๆ ศาลจะปฏิเสธการบังคับตามคำชี้ขาดได้ในกรณีที่จำกัดมาก เช่น ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือกระบวนการอนุญาโตตุลาการไม่เป็นธรรม

4. เตรียมตัวอย่างไร? เมื่อข้อพิพาททางการค้าเกิดขึ้น

เมื่อสัญญาณของข้อพิพาทปรากฏขึ้น การดำเนินการอย่างเป็นระบบและรวดเร็วคือหัวใจสำคัญ

  • ขั้นตอนที่ 1: รวบรวมเอกสารหลักฐานทั้งหมด

เอกสารคืออาวุธที่สำคัญที่สุดในการต่อสู้คดี ควรรวบรวมและจัดเก็บอย่างเป็นระบบตามลำดับเวลา:

  • สัญญาซื้อขาย (Contract), ใบสั่งซื้อ (PO), ใบแจ้งหนี้ (Invoice), รายการบรรจุหีบห่อ (Packing List)
  • ใบตราส่งสินค้าทางทะเล (B/L) หรือ ใบตราส่งสินค้าทางอากาศ (AWB)
  • หลักฐานการชำระเงิน (SWIFT/TT), เอกสาร L/C ทั้งหมด
  • การสื่อสารทั้งหมด: อีเมล, ข้อความแชท (LINE, WhatsApp)
  • รายงานการตรวจสอบคุณภาพสินค้า (Inspection Report), รูปถ่าย/วิดีโอของสินค้าที่เสียหาย
  • ขั้นตอนที่ 2: ตรวจสอบข้อสัญญาอย่างละเอียด

กลับไปทบทวนสัญญาเพื่อค้นหา “กฎของเกม” ที่คู่สัญญาได้ตกลงกันไว้:

  • กฎหมายที่ใช้บังคับ (Governing Law): กฎหมายไทยหรือต่างประเทศ?
  • ช่องทางระงับข้อพิพาท: ต้องฟ้องศาล (Jurisdiction Clause) หรือต้องใช้อนุญาโตตุลาการ (Arbitration Clause)? หากเป็นอนุญาโตตุลาการ ให้ใช้สถาบันใด (Seat) และข้อบังคับ (Rules) ใด?
  • เงื่อนไขการแจ้ง (Notice Clause): มีกำหนดเวลาหรือวิธีการเฉพาะในการแจ้งให้คู่สัญญาอีกฝ่ายทราบถึงข้อเรียกร้องหรือไม่?
  • ขั้นตอนที่ 3: ปรึกษาทนายผู้เชี่ยวชาญโดยเร็วที่สุด

การปรึกษาทนายความผู้มีประสบการณ์ด้านคดีการค้าระหว่างประเทศตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้ท่านประเมินสถานการณ์ได้อย่างถูกต้อง ทนายความจะช่วยวิเคราะห์จุดแข็ง-จุดอ่อนของคดี, ประเมินค่าใช้จ่ายและระยะเวลา, และที่สำคัญคือพิจารณาความเป็นไปได้ในการยื่นขอ มาตรการคุ้มครองชั่วคราว เช่น การอายัดบัญชีธนาคารของคู่กรณี เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีทรัพย์สินเหลือพอให้บังคับคดีได้เมื่อชนะคดี

ตารางที่ 2 ภาพรวมกระบวนการระงับข้อพิพาททางการค้าระหว่างประเทศ

ขั้นตอน

การดำเนินคดีในศาล (ศาลทรัพย์สินฯ)

การอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ

1. เกิดข้อพิพาท

การโต้ตอบหนังสือ/รวบรวมหลักฐาน

การโต้ตอบหนังสือ/รวบรวมหลักฐาน

2. เริ่มกระบวนการ

ยื่น คำฟ้อง ต่อศาลทรัพย์สินฯ

ยื่น คำเสนอข้อพิพาท ต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ (เช่น THAC, ICC)

3. มาตรการคุ้มครองชั่วคราว

ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอคุ้มครองชั่วคราว (เช่น อายัดทรัพย์สิน) ตาม ป.วิ.แพ่ง

ยื่นคำร้องต่อคณะอนุญาโตตุลาการ (หรือศาล) เพื่อขอมาตรการคุ้มครองชั่วคราว

4. การพิจารณา

การยื่นคำให้การ, การสืบพยานในศาลซึ่งเป็นกระบวนการที่เปิดเผย

การยื่นคำคู่ความ, การเปิดเผยเอกสาร, การไต่สวนพยานซึ่งเป็นกระบวนการที่เป็นความลับ

5. ผลการตัดสิน

คำพิพากษา (สามารถอุทธรณ์/ฎีกาได้)

คำชี้ขาด (มีข้อจำกัดในการคัดค้าน)

6. การบังคับคดี

เจ้าหนี้ตามคำพิพากษายื่นเรื่องต่อ กรมบังคับคดี เพื่อดำเนินการยึด/อายัดทรัพย์

ผู้ชนะคดีต้องยื่นคำร้องต่อ ศาลทรัพย์สินฯ เพื่อรับรองคำชี้ขาด จากนั้นจึง ยื่นเรื่องต่อ กรมบังคับคดี เพื่อบังคับคดี 2

กระบวนการบังคับคดีเผยให้เห็นความแตกต่างที่สำคัญ การมีคำพิพากษาของศาลสามารถนำไปสู่การบังคับคดีได้โดยตรง ในขณะที่คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการต้องผ่านขั้นตอนการรับรองจากศาลก่อน ซึ่งเป็นปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการวางแผนกลยุทธ์ตั้งแต่ต้น

5. บทสรุป

ข้อพิพาททางการค้าระหว่างประเทศมีความหลากหลายและซับซ้อน แต่ประเทศไทยมีกลไกทางกฎหมายที่ชัดเจนรองรับผ่านศาลชำนัญพิเศษอย่างศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง รวมถึงกระบวนการอนุญาโตตุลาการที่เป็นมาตรฐานสากล หัวใจสำคัญในการรับมือกับความท้าทายเหล่านี้คือ การเตรียมความพร้อมเชิงรุก ตั้งแต่การร่างสัญญาที่รัดกุม มีข้อกำหนดเรื่องการระงับข้อพิพาทที่ชัดเจน ไปจนถึงการเก็บรักษาพยานหลักฐานอย่างเป็นระบบ และการขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญทันทีที่เกิดปัญหา การดำเนินการที่ถูกต้องและทันท่วงทีไม่เพียงแต่จะช่วยปกป้องสิทธิประโยชน์ของธุรกิจ แต่ยังช่วยบริหารจัดการต้นทุนและเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

หากธุรกิจของคุณกำลังเผชิญกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างประเทศ หรือต้องการเสริมความแข็งแกร่งให้กับสัญญาเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต ติดต่อเรา เพื่อรับการประเมินสถานการณ์เบื้องต้นจากทีมกฎหมายของเรา ซึ่งพร้อมให้คำแนะนำที่สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจของคุณใน ประเภทคดีที่รับว่าความ (ลิงค์ practice areas)

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

ไม่เสมอไปครับ ขึ้นอยู่กับข้อสัญญาเรื่องเขตอำนาจศาล (Jurisdiction Clause) และประเภทของข้อพิพาทว่าเข้าข่ายตามที่ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินฯ กำหนดหรือไม่ หากในสัญญาระบุให้ใช้อนุญาโตตุลาการ ก็ต้องดำเนินการตามนั้น

การดำเนินการล่าช้าเกินไป ข้อเรียกร้องหลายประเภท โดยเฉพาะคดีขนส่งทางทะเล มีอายุความที่สั้นมาก เช่น 1 ปีตาม พ.ร.บ. การรับขนของทางทะเล  การปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปอาจทำให้เสียสิทธิในการฟ้องคดีและสูญเสียพยานหลักฐานสำคัญ   

L/C หรือ เลตเตอร์ออฟเครดิต คือคำรับรองของธนาคารว่าจะชำระเงินแทนผู้ซื้อ หากผู้ขายยื่นเอกสารได้ถูกต้องครบถ้วนตามเงื่อนไขทุกประการ ข้อพิพาทมักเกิดจากความคลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อยในเอกสาร ซึ่งธนาคารสามารถใช้เป็นเหตุผลในการปฏิเสธการชำระเงินได้

ได้ครับ ประเทศไทยเป็นภาคีอนุสัญญานิวยอร์ก  ท่านต้องยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจ (โดยทั่วไปคือศาลทรัพย์สินฯ) เพื่อให้ศาลรับรองและออกคำบังคับตามคำชี้ขาดนั้นให้มีผลบังคับใช้ได้ในประเทศไทยตาม พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ   

สัญญา/ใบสั่งซื้อ, ใบแจ้งหนี้, รายการบรรจุหีบห่อ, ใบตราส่งสินค้า (B/L หรือ AWB), หลักฐานการชำระเงิน (TT/SWIFT), และการสื่อสารทั้งหมดกับคู่ค้า เช่น อีเมลและข้อความแชท

ระยะเวลาแตกต่างกันมาก คดีที่ไม่ซับซ้อนในศาลทรัพย์สินฯ อาจใช้เวลา 12-24 เดือนสำหรับคำพิพากษาศาลชั้นต้น การอนุญาโตตุลาการอาจเร็วกว่าในบางกรณี แต่หากคดีมีความซับซ้อนและมีการอุทธรณ์ฎีกา อาจใช้เวลาหลายปี

ฝากข้อความ

โปรดกรอกแบบฟอร์มแล้วเราจะติดต่อคุณโดยเร็วที่สุด

    Scroll to Top