jirawatlawoffice

พื้นที่ปฏิบัติงานของเรา

คดีครอบครัวและมรดก

หย่า/แบ่งทรัพย์/อำนาจปกครอง: ภาพรวมคดีครอบครัว

ปัญหาทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวและมรดกเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนและส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการสิ้นสุดความสัมพันธ์สมรส ข้อพิพาทเกี่ยวกับทรัพย์สิน หรือการวางแผนเพื่อส่งต่อมรดกให้แก่คนรุ่นต่อไป การตัดสินใจในเรื่องเหล่านี้ต้องอาศัยความเข้าใจในข้อกฎหมายที่ถูกต้องและความรอบคอบในการดำเนินการ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ยุติธรรมและลดผลกระทบทางจิตใจให้เหลือน้อยที่สุด

ที่ JIRAWAT & ASSOCIATES LAW OFFICE เราเข้าใจถึงความซับซ้อนและความอ่อนไหวของสถานการณ์เหล่านี้ ทีมงานของเรามีความพร้อมในการให้คำแนะนำและดูแลคดีที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายครอบครัวและมรดกอย่างครบวงจร ตั้งแต่การเจรจาไปจนถึงการดำเนินคดีในชั้นศาล โดยครอบคลุมประเด็นต่างๆ ดังนี้:

  • การหย่าโดยความยินยอมและการฟ้องหย่า
  • การแบ่งสินสมรสและสินส่วนตัว
  • การกำหนดอำนาจปกครองบุตรและค่าอุปการะเลี้ยงดู
  • การรับรองบุตรและการปฏิเสธความเป็นบิดา
  • การสมรสที่เป็นโมฆะและโมฆียะ
  • การร่างพินัยกรรมและการวางแผนมรดก
  • การร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกและการจัดการกองมรดก

เรามุ่งมั่นที่จะให้คำแนะนำที่ชัดเจนและเป็นกลาง เพื่อช่วยให้ท่านสามารถตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน

การจัดการปัญหาครอบครัวและมรดกในประเทศไทย: แนวทางกฎหมายสำหรับเรื่องละเอียดอ่อน

กฎหมายครอบครัวและมรดกของประเทศไทยอยู่ภายใต้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) บรรพ 5 ว่าด้วยครอบครัว และบรรพ 6 ว่าด้วยมรดก ซึ่งเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่กำหนดกรอบและขั้นตอนการดำเนินการไว้อย่างชัดเจน การดำเนินคดีครอบครัวและมรดกจึงไม่ใช่การต่อสู้ที่อาศัยเพียงอารมณ์ความรู้สึก แต่เป็นการนำเสนอข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์สิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติไว้

แนวทางการทำงานของเราให้ความสำคัญกับการรักษาความลับของลูกความและการแสวงหาทางออกที่สร้างสรรค์และเหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการไกล่เกลี่ยเพื่อหาข้อยุติที่เป็นที่พอใจของทุกฝ่าย หรือการดำเนินคดีในศาลเพื่อปกป้องสิทธิอันชอบธรรมของท่าน การมีความเข้าใจในหลักกฎหมายอย่างถ่องแท้เป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม

การหย่าร้างในประเทศไทย: ประเภทและกระบวนการ

การสิ้นสุดการสมรสตามกฎหมายไทยสามารถทำได้ 2 วิธีหลัก คือ การหย่าโดยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย และการหย่าโดยคำพิพากษาของศาล ซึ่งแต่ละวิธีมีขั้นตอนและเงื่อนไขที่แตกต่างกัน

การหย่าโดยความยินยอม

การหย่าโดยความยินยอมเป็นวิธีที่รวดเร็วและเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด แต่จะทำได้ก็ต่อเมื่อคู่สมรสทั้งสองฝ่ายตกลงยินยอมที่จะหย่าขาดจากกัน และสามารถตกลงกันได้ในประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้อง เช่น การแบ่งทรัพย์สิน (สินสมรส) อำนาจปกครองบุตร และค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร กระบวนการนี้ต้องดำเนินการที่สำนักงานเขตหรือที่ว่าการอำเภอ ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1514 และ 1515

คู่สมรสทั้งสองฝ่ายต้องไปปรากฏตัวต่อหน้านายทะเบียนพร้อมกัน และจัดทำบันทึกข้อตกลงการหย่าเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งจะถูกแนบท้ายทะเบียนการหย่า เมื่อลงนามในทะเบียนการหย่า (แบบ คร.6) และได้รับใบสำคัญการหย่า (แบบ คร.7) แล้ว การหย่าจะมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายทันที

การฟ้องหย่า (Contested Divorce) และเหตุแห่งการฟ้องหย่า

ในกรณีที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอมหย่า หรือไม่สามารถตกลงกันในประเด็นสำคัญได้ ฝ่ายที่ต้องการหย่าจะต้องยื่นฟ้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวเพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้หย่า การฟ้องหย่าจะทำได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุแห่งการฟ้องหย่าตามที่กฎหมายกำหนดไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1516 ซึ่งมีหลายประการ เหตุที่พบบ่อยได้แก่:

  • (1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ
  • (2) สามีหรือภริยาประพฤติชั่ว ไม่ว่าความประพฤตินั้นจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ ถ้าเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง หรือได้รับความดูถูกเกลียดชัง
  • (3) สามีหรือภริยาทำร้าย หรือทรมานร่างกายหรือจิตใจ หรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่ง
  • (4) สามีหรือภริยาจงใจละทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่งไปเกินหนึ่งปี
  • (4/2) สามีและภริยาสมัครใจแยกกันอยู่ เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเป็นเวลาเกินสามปี
  • (6) สามีหรือภริยาไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควร หรือทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง

การพิสูจน์เหตุแห่งการฟ้องหย่าเป็นหน้าที่ของฝ่ายโจทก์ ซึ่งต้องนำพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือมาแสดงต่อศาล ศาลฎีกาได้วางแนวทางในการตีความเหตุหย่าแต่ละข้อไว้หลายกรณี เช่น คำพิพากษาฎีกาที่ 2345/2552 ได้วินิจฉัยแยกแยะระหว่าง “การจงใจละทิ้งร้าง” ซึ่งเป็นการกระทำของฝ่ายเดียว กับ “การสมัครใจแยกกันอยู่” ซึ่งต้องเกิดจากความเห็นพ้องของทั้งสองฝ่าย

ฟ้องหย่าต้องเตรียมอะไรบ้าง

การเตรียมตัวที่ดีเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการดำเนินคดีฟ้องหย่า การรวบรวมเอกสารและหลักฐานที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วนจะช่วยให้กระบวนการในชั้นศาลเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ โดยทั่วไป เอกสารที่จำเป็นต้องใช้ในการยื่นฟ้องหย่าต่อศาล มีดังนี้:

  • เอกสารประจำตัว:
    • บัตรประจำตัวประชาชนของโจทก์ (ฝ่ายที่ฟ้อง)
    • ทะเบียนบ้านของโจทก์
    • ใบสำคัญการสมรส (ฉบับจริง)
    • ใบเปลี่ยนชื่อ-สกุล (ถ้ามี)
  • เอกสารเกี่ยวกับบุตร (กรณีมีบุตรร่วมกัน):
    • สูติบัตรของบุตรทุกคน
    • ทะเบียนบ้านของบุตร
  • เอกสารเกี่ยวกับทรัพย์สิน (กรณีมีข้อพิพาทเรื่องสินสมรส):
    • โฉนดที่ดิน, หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)
    • รายการจดทะเบียนรถยนต์
    • สมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร, ใบหุ้น, กรมธรรม์ประกันชีวิต
    • สัญญากู้ยืมเงิน หรือเอกสารแสดงภาระหนี้สินร่วมกัน
  • พยานหลักฐานที่สนับสนุนเหตุแห่งการฟ้องหย่า:
    • หลักฐานการมีชู้ เช่น ภาพถ่าย, ข้อความการสนทนา, บันทึกการใช้โทรศัพท์
    • ใบรับรองแพทย์ กรณีถูกทำร้ายร่างกาย
    • บันทึกประจำวันของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
    • รายชื่อและข้อมูลติดต่อของพยานบุคคลที่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้

การเตรียมเอกสารเหล่านี้ให้พร้อมก่อนปรึกษาทนายความ จะช่วยให้การประเมินรูปคดีและการวางแผนดำเนินคดีเป็นไปอย่างแม่นยำ

ประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการหย่า: สิทธิเลี้ยงดูบุตรและสินสมรส

นอกเหนือจากการสิ้นสุดสถานะการสมรสแล้ว ผลกระทบที่สำคัญที่สุดของการหย่าร้างคือการจัดการเรื่องอำนาจปกครองบุตรและอนาคตทางการเงินของครอบครัว ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับ “อำนาจปกครองบุตร” และการแบ่ง “สินสมรส”

ตามกฎหมายไทย ทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ สินส่วนตัว (Sin Suan Tua) และ สินสมรส (Sin Somros) ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1471 และ 1474 สินส่วนตัวคือทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส หรือได้รับมาโดยทางมรดกหรือการให้โดยเสน่หาในระหว่างสมรส ซึ่งฝ่ายนั้นยังคงเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว ส่วนสินสมรสคือทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส ซึ่งต้องแบ่งกันคนละครึ่งเมื่อหย่าร้าง

สำหรับบุตรผู้เยาว์ ศาลจะพิจารณาตัดสินเรื่องอำนาจปกครองโดยคำนึงถึง “ประโยชน์สูงสุดของบุตร” เป็นสำคัญที่สุด

อำนาจปกครอง–ค่าอุปการะเลี้ยงดู

อำนาจปกครองบุตร (Parental Power) ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1566 หมายถึง สิทธิและหน้าที่ของบิดามารดาในการอุปการะเลี้ยงดู ให้การศึกษา อบรมสั่งสอน และกำหนดที่อยู่ของบุตร ในกรณีหย่าโดยความยินยอม พ่อแม่สามารถตกลงกันได้ว่าใครจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองแต่เพียงผู้เดียว หรือจะใช้ร่วมกันต่อไป

หากเป็นการฟ้องหย่าและไม่สามารถตกลงกันได้ ศาลจะเป็นผู้ชี้ขาด โดยพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น ความสามารถในการดูแลบุตร ความประพฤติของบิดามารดา สภาพแวดล้อม และความผูกพันระหว่างบุตรกับแต่ละฝ่าย ฝ่ายที่ไม่ได้อำนาจปกครองยังคงมีสิทธิเยี่ยมเยียนบุตรได้ตามสมควร

นอกจากนี้ บิดามารดายังมีหน้าที่ร่วมกันรับผิดชอบ ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร (Child Support) จนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ (อายุ 20 ปีบริบูรณ์) ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1564 ศาลสามารถกำหนดจำนวนเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูได้ตามความสามารถของผู้มีหน้าที่ให้และฐานะของผู้รับ ซึ่งเป็นภาระผูกพันที่บังคับใช้ได้ตามกฎหมาย ดังตัวอย่างใน คำพิพากษาฎีกาที่ 4410/2563 ที่ศาลมีคำสั่งให้บิดาชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด

พิพาททรัพย์สินระหว่างคู่สมรส

ข้อพิพาทเรื่องทรัพย์สินเป็นประเด็นที่ซับซ้อนและมักเป็นสาเหตุสำคัญของความขัดแย้งในการหย่าร้าง หลักการสำคัญตาม ป.พ.พ. มาตรา 1533 คือ สินสมรส จะต้องถูกแบ่งคนละครึ่งระหว่างสามีและภริยาเมื่อการสมรสสิ้นสุดลง

สินสมรสครอบคลุมถึงทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันในระหว่างสมรส รวมถึงดอกผลของสินส่วนตัวด้วย การพิสูจน์ว่าทรัพย์สินใดเป็นสินส่วนตัวหรือสินสมรสจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการดำเนินคดี ในทางปฏิบัติ แม้คู่สมรสจะไม่ได้ทำบันทึกข้อตกลงเรื่องทรัพย์สินเป็นลายลักษณ์อักษร แต่หากมีพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าได้ตกลงแบ่งทรัพย์สินกันด้วยวาจาแล้ว ข้อตกลงนั้นก็อาจมีผลผูกพันได้ ดังที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ใน คำพิพากษาฎีกาที่ 566/2556

รับรองบุตร/ปฏิเสธความเป็นบิดา

กฎหมายไทยให้ความคุ้มครองสิทธิของเด็กในการมีบิดาโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีกระบวนการทั้งในการรับรองและปฏิเสธความเป็นบิดา

  • การรับรองบุตร (Legitimation): เด็กที่เกิดจากบิดามารดาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน จะเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของมารดาเสมอ แต่จะไม่ใช่บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดา จนกว่าจะมีการดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 1547 คือ (1) บิดามารดาได้สมรสกันในภายหลัง (2) บิดาได้จดทะเบียนรับรองบุตร ณ สำนักงานเขต/อำเภอ หรือ (3) ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร ในกรณีที่บิดาต้องการจดทะเบียนรับรองบุตร แต่เด็กหรือมารดาคัดค้าน บิดาสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้มีคำพิพากษาได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1548
  • การปฏิเสธความเป็นบิดา (Denial of Paternity): กฎหมายสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเด็กที่เกิดจากหญิงในระหว่างสมรส หรือภายใน 310 วันนับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลง เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของสามี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1536 หากชายผู้เป็นสามีเชื่อว่าตนไม่ใช่บิดาของเด็ก เขาสามารถฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตรต่อศาลได้ แต่ต้องฟ้องภายใน 1 ปีนับแต่วันที่รู้ถึงการเกิดของเด็ก ตามที่ระบุใน ป.พ.พ. มาตรา 1538

โมฆียะ–โมฆะกรรมในกฎหมายครอบครัว

การสมรสบางกรณีอาจไม่มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย หรืออาจถูกเพิกถอนได้ในภายหลัง ซึ่งแบ่งเป็น 2 กรณี

  • การสมรสที่เป็นโมฆะ (Void Marriage): คือการสมรสที่เสียเปล่าและไม่มีผลทางกฎหมายมาตั้งแต่ต้น เสมือนว่าไม่เคยมีการสมรสเกิดขึ้นเลย สาเหตุที่ทำให้การสมรสเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 1495 ได้แก่ การสมรสซ้อน (มาตรา 1452) หรือการสมรสกับญาติสืบสายโลหิตโดยตรง (มาตรา 1450)
  • การสมรสที่เป็นโมฆียะ (Voidable Marriage): คือการสมรสที่ยังมีผลสมบูรณ์อยู่จนกว่าจะถูกศาลพิพากษาให้เพิกถอน สาเหตุอาจเกิดจากการสมรสในขณะที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้เยาว์และไม่ได้รับความยินยอม (มาตรา 1448 ประกอบ 1454) การสมรสโดยสำคัญผิดในตัวคู่สมรส (มาตรา 1505) หรือถูกกลฉ้อฉล (มาตรา 1506 การฟ้องขอเพิกถอนการสมรสที่เป็นโมฆียะมีกำหนดระยะเวลาตามที่กฎหมายบัญญัติไว้

การวางแผนมรดก: ความสำคัญของพินัยกรรม

การทำ พินัยกรรม (Last Will and Testament) เป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่สำคัญที่สุดในการวางแผนส่งต่อทรัพย์สินของท่านไปยังบุคคลที่ท่านต้องการให้ได้รับมรดก การทำพินัยกรรมช่วยให้เจ้าของทรัพย์สิน (ผู้ทำพินัยกรรม) สามารถกำหนดตัวผู้รับมรดกและสัดส่วนของทรัพย์สินได้อย่างชัดเจน ซึ่งจะมีความสำคัญเหนือกว่าการแบ่งมรดกตามลำดับทายาทโดยธรรม

พินัยกรรมแบบธรรมดาตาม ป.พ.พ. มาตรา 1656 จะต้องทำเป็นหนังสือ ลงวัน เดือน ปี ในขณะที่ทำขึ้น และผู้ทำพินัยกรรมต้องลงลายมือชื่อไว้ต่อหน้าพยานอย่างน้อยสองคนพร้อมกัน ซึ่งพยานสองคนนั้นต้องลงลายมือชื่อรับรองลายมือชื่อของผู้ทำพินัยกรรมไว้ในขณะนั้น การจัดทำพินัยกรรมที่ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายกำหนดจะช่วยป้องกันข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทายาทในอนาคตได้

การรับมรดกเมื่อไม่มีพินัยกรรม: ใครคือทายาทโดยธรรม?

ในกรณีที่บุคคลใดถึงแก่ความตายโดยไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ หรือทำไว้แต่ไม่มีผลบังคับได้ กฎหมายจะกำหนดให้ทรัพย์มรดกทั้งหมดตกทอดแก่ ทายาทโดยธรรม (Statutory Heirs) ตามลำดับและสัดส่วนที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ลำดับชั้นของทายาทโดยธรรม 6 ลำดับ

ทายาทโดยธรรมที่เป็นญาติมี 6 ลำดับชั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1629 ดังนี้:

  1. ผู้สืบสันดาน (บุตร, หลาน, เหลน)
  2. บิดามารดา
  3. พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
  4. พี่น้องร่วมบิดาหรือมารดาเดียวกัน
  5. ปู่ ย่า ตา ยาย
  6. ลุง ป้า น้า อา

หลักการสำคัญคือ “ญาติสนิทตัดญาติห่าง” กล่าวคือ ตราบใดที่ยังมีทายาทในลำดับก่อนมีชีวิตอยู่ ทายาทในลำดับถัดลงไปจะไม่มีสิทธิได้รับมรดกเลย ข้อยกเว้นที่สำคัญ คือ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1630 หากมีผู้สืบสันดาน (ลำดับที่ 1) และบิดามารดา (ลำดับที่ 2) ยังมีชีวิตอยู่ บิดามารดาจะยังมีสิทธิได้รับมรดกร่วมกับผู้สืบสันดานด้วย

สิทธิของคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่

คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ถือเป็นทายาทโดยธรรมลำดับพิเศษตาม ป.พ.พ. มาตรา 1635 โดยมีสิทธิรับมรดกร่วมกับทายาทโดยธรรมที่เป็นญาติในลำดับต่างๆ ซึ่งสัดส่วนที่จะได้รับจะแตกต่างกันไป ดังนี้

หากเจ้ามรดกมีทายาทลำดับชั้น...ที่ยังมีชีวิตอยู่

คู่สมรสจะได้รับส่วนแบ่งมรดก

ลำดับที่ 1 (ผู้สืบสันดาน)

ได้ส่วนแบ่งเสมือนหนึ่งว่าเป็นทายาทชั้นบุตร

ลำดับที่ 2 (บิดามารดา) หรือ ลำดับที่ 3 (พี่น้องร่วมบิดามารดา)

ได้รับมรดกกึ่งหนึ่ง

ลำดับที่ 4, 5, หรือ 6

ได้รับมรดกสองในสามส่วน

ไม่มีทายาทลำดับ 1-6 เลย

ได้รับมรดกทั้งหมด

ผู้จัดการมรดก (Executor หรือ Administrator) คือบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งโดยพินัยกรรมหรือโดยคำสั่งศาล ให้มีหน้าที่รวบรวม จัดการ และแบ่งปันทรัพย์สินในกองมรดกให้แก่ทายาทผู้มีสิทธิตามกฎหมายหรือตามพินัยกรรม

กระบวนการจัดตั้งผู้จัดการมรดกตามกฎหมายไทย

หากผู้ตายได้ระบุตัวผู้จัดการมรดกไว้ในพินัยกรรม บุคคลนั้นสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดกได้ หากไม่มีพินัยกรรมหรือพินัยกรรมไม่ได้ตั้งผู้จัดการมรดกไว้ ทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียคนใดคนหนึ่งสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอตั้งตนเองหรือบุคคลอื่นเป็นผู้จัดการมรดกได้

หน้าที่ของผู้จัดการมรดก

หน้าที่หลักของผู้จัดการมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1719 คือการดำเนินการเพื่อประโยชน์ของกองมรดกโดยรวม ซึ่งรวมถึง:

  • จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกและยื่นต่อศาลภายในเวลาที่กำหนด
  • รวบรวมทรัพย์สินและสิทธิเรียกร้องต่างๆ ของผู้ตาย
  • ชำระหนี้สินของกองมรดก (ถ้ามี)
  • ดำเนินการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทที่ถูกต้อง

ความรับผิดของผู้จัดการมรดก

ผู้จัดการมรดกมีสถานะเป็นผู้ได้รับความไว้วางใจจากทายาทและศาล จึงต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและระมัดระวัง หากผู้จัดการมรดกใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ หรือกระทำการใดๆ ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดก เช่น โอนทรัพย์มรดกให้ตนเองโดยไม่มีสิทธิ อาจต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวต่อทายาทสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้น ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1722

สรุปเส้นทางคดีครอบครัวและมรดก

การจัดการปัญหาทางกฎหมายครอบครัวและมรดกมักมีขั้นตอนที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลา การทำความเข้าใจภาพรวมของกระบวนการจะช่วยให้ท่านเตรียมความพร้อมได้ดียิ่งขึ้น โดยทั่วไป เส้นทางของคดีจะประกอบด้วยขั้นตอนหลักดังนี้:

  1. การปรึกษาเบื้องต้น: เข้าพบนักกฎหมายเพื่อประเมินข้อเท็จจริง วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย และวางแนวทางเบื้องต้น
  2. การรวบรวมเอกสารและหลักฐาน: จัดเตรียมเอกสารที่จำเป็นทั้งหมดตามที่ระบุไว้ข้างต้น
  3. การยื่นคำร้องต่อศาลหรือการจดทะเบียน: เริ่มต้นกระบวนการทางกฎหมายอย่างเป็นทางการ
  4. กระบวนการในศาล: อาจมีการไกล่เกลี่ยเพื่อนัดเจรจาหาข้อยุติ หรือการสืบพยานในชั้นพิจารณาคดี
  5. คำพิพากษาและการบังคับคดี: เมื่อศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว จะต้องนำคำพิพากษาไปดำเนินการให้เกิดผลทางกฎหมาย เช่น การจดทะเบียนหย่า หรือการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน

การจัดการมรดก: ผู้จัดการมรดกดำเนินการแบ่งปันทรัพย์สินให้แก่ทายาทจนเสร็จสิ้น

ฝากข้อความ

โปรดกรอกแบบฟอร์มแล้วเราจะติดต่อคุณโดยเร็วที่สุด

    Scroll to Top