jirawatlawoffice

พื้นที่ปฏิบัติงานของเรา

คดีสิ่งแวดล้อมสำหรับภาคอุตสาหกรรมและนิคมอุตสาหกรรม

ภูมิทัศน์ทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมสำหรับภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทยมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ผู้ประกอบการโรงงาน ทั้งในและนอกนิคมอุตสาหกรรม ต้องเผชิญกับความท้าทายในการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับกฎหมายหลายฉบับ ตั้งแต่การขออนุญาตจัดตั้งโครงการ การปฏิบัติตามเงื่อนไขการดำเนินงาน ไปจนถึงการจัดการข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นจากผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน

บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ประกอบการ ผู้จัดการโรงงาน และฝ่ายกฎหมาย/Compliance ในการทำความเข้าใจกรอบกฎหมายที่สำคัญ ประเภทของข้อพิพาทที่พบบ่อย และกลยุทธ์เชิงปฏิบัติในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยอ้างอิงข้อมูลจากแหล่งกฎหมายและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องโดยตรง

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง (สรุปใช้งานจริงสำหรับผู้ประกอบการ)

การดำเนินกิจการโรงงานในประเทศไทยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกฎหมายหลายฉบับ ซึ่งแต่ละฉบับมีวัตถุประสงค์และหน่วยงานผู้รับผิดชอบแตกต่างกัน การทำความเข้าใจหน้าที่และความรับผิดตามกฎหมายเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญของการป้องกันข้อพิพาท

พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมฯ (NEQA) และอำนาจ PCD/ONEP

พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 ถือเป็นกฎหมายแม่บทด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศ กฎหมายฉบับนี้ได้จัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแลหลัก 2 แห่งที่มีบทบาทสำคัญต่อภาคอุตสาหกรรม:

  1. สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ. หรือ ONEP): มีหน้าที่หลักในการกำหนดนโยบายและแผนด้านสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญที่สุดคือการกำกับดูแลกระบวนการ การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment – EIA) และ การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (Environmental and Health Impact Assessment – EHIA) ซึ่งเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนการขออนุญาตสำหรับโครงการอุตสาหกรรมบางประเภทและขนาด
  2. กรมควบคุมมลพิษ (คพ. หรือ PCD): มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม (เช่น คุณภาพน้ำ, คุณภาพอากาศ) เฝ้าระวัง ตรวจสอบ และบังคับใช้กฎหมายกับแหล่งกำเนิดมลพิษ เจ้าพนักงานควบคุมมลพิษ (Pollution Control Officer) ของ คพ. มีอำนาจเข้าตรวจสอบโรงงาน เก็บตัวอย่าง และออกคำสั่งทางปกครองให้แก้ไขหรือระงับการก่อมลพิษได้

การดำเนินงานของผู้ประกอบการจึงต้องเผชิญกับ การกำกับดูแลสองแนวทางคู่ขนานกัน คือ แนวทางการอนุมัติโครงการ ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของ สผ. (ผ่านกระบวนการ EIA/EHIA) และ แนวทางการกำกับดูแลการปฏิบัติงาน ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของ คพ. โรงงานที่ได้รับความเห็นชอบรายงาน EIA แล้ว ยังคงสามารถถูก คพ. สั่งพักใช้หรือปิดกิจการได้หากการดำเนินงานจริงไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด

พ.ร.บ.โรงงาน, พ.ร.บ.วัตถุอันตราย, พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ, พ.ร.บ.สาธารณสุข

นอกเหนือจากกฎหมายสิ่งแวดล้อมโดยตรง ยังมีกฎหมายเฉพาะทางอื่นๆ ที่ผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด:

  • พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 (แก้ไขเพิ่มเติมโดย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562): เป็นกฎหมายหลักในการควบคุมการประกอบกิจการโรงงาน กำหนดประเภทโรงงานเป็น 3 จำพวก ซึ่งโรงงานจำพวกที่ 3 ต้องได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการ (ร.ง.4) ก่อนเริ่มดำเนินการ และต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดในใบอนุญาตและกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด การไม่ปฏิบัติตามอาจนำไปสู่คำสั่งให้แก้ไข ปรับปรุง พักใช้ หรือเพิกถอนใบอนุญาตได้
  • พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 (แก้ไขเพิ่มเติมโดย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562): ควบคุมการผลิต นำเข้า ส่งออก และครอบครองวัตถุอันตราย ผู้ประกอบการมีหน้าที่ต้องขึ้นทะเบียน แจ้งข้อมูล และขออนุญาตตามประเภทของวัตถุอันตรายที่ใช้ในโรงงาน รวมถึงจัดการจัดเก็บและกำจัดตามหลักเกณฑ์ที่ปลอดภัย
  • พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561: กำหนดให้การใช้น้ำจากแหล่งน้ำสาธารณะเพื่ออุตสาหกรรมเป็นการใช้น้ำประเภทที่ 2 หรือ 3 ซึ่งต้องได้รับใบอนุญาต และอาจมีค่าใช้น้ำตามที่กฎหมายกำหนด
  • พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 (แก้ไขเพิ่มเติมโดย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560): ให้อำนาจเจ้าพนักงานท้องถิ่นในการควบคุม “เหตุรำคาญ” ซึ่งอาจเกิดจากโรงงานได้ เช่น กลิ่นเหม็น เสียงดัง ฝุ่นละออง หรือการสั่นสะเทือนที่กระทบต่อประชาชนในบริเวณใกล้เคียง

กฎหมาย/ระเบียบการนิคมอุตสาหกรรม (IEAT) และข้อกำหนดเฉพาะพื้นที่

สำหรับโรงงานที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม จะต้องปฏิบัติตาม พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 และระเบียบข้อบังคับของ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ. หรือ IEAT) เพิ่มเติมอีกชั้นหนึ่ง

กนอ. มีบทบาททั้งในฐานะผู้ส่งเสริมการลงทุน (เช่น อนุญาตให้ต่างชาติถือกรรมสิทธิ์ที่ดินได้) และในฐานะผู้กำกับดูแล โดยมีอำนาจกำหนดเงื่อนไขด้านสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย และการดำเนินงานที่เข้มงวดกว่ากฎหมายทั่วไปได้ โรงงานในนิคมฯ ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดเฉพาะของนิคมฯ นั้นๆ เช่น มาตรฐานการระบายน้ำทิ้งลงสู่ระบบบำบัดน้ำเสียส่วนกลาง การจัดการกากอุตสาหกรรม และการเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ละเมิด ม.420) และคดีแบบกลุ่ม (class action)

ในกรณีที่การดำเนินงานของโรงงานก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของบุคคลภายนอก ผู้เสียหายสามารถฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนทางแพ่งได้ โดยอาศัยหลักกฎหมาย 2 ประการหลัก:

  1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 (ละเมิด): ผู้เสียหาย (โจทก์) มีภาระการพิสูจน์ว่าโรงงาน (จำเลย) ได้กระทำการโดย จงใจหรือประมาทเลินเล่อ จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย ซึ่งการพิสูจน์ในคดีสิ่งแวดล้อมที่มีความซับซ้อนทางเทคนิคมักเป็นเรื่องยาก
  2. พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อมฯ มาตรา 96: กำหนด “ความรับผิดโดยสิ้นเชิง” (Strict Liability) แก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษ หมายความว่า หากเกิดการรั่วไหลหรือแพร่กระจายของมลพิษจากโรงงานจนเกิดความเสียหาย โรงงานต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน โดยที่ผู้เสียหายไม่ต้องพิสูจน์ว่าโรงงานจงใจหรือประมาทเลินเล่อหรือไม่ ซึ่งเป็นหลักการที่เอื้อต่อผู้เสียหายมากกว่ามาตรา 420

นอกจากนี้ การแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งยังเปิดช่องให้มีการ ดำเนินคดีแบบกลุ่ม (Class Action) ซึ่งผู้เสียหายจำนวนมากที่มีลักษณะความเสียหายคล้ายคลึงกันสามารถรวมตัวกันฟ้องเป็นคดีเดียวได้ ทำให้คดีสิ่งแวดล้อมที่มีผู้ได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง (เช่น ชุมชนรอบโรงงาน) มีพลังในการต่อสู้คดีและเรียกร้องค่าเสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

คดีปกครองที่พบบ่อยในภาคอุตสาหกรรม

คดีปกครองเกิดขึ้นเมื่อผู้ประกอบการไม่เห็นด้วยกับคำสั่งทางปกครองที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐ และต้องการให้ศาลปกครองเพิกถอนหรือแก้ไขคำสั่งนั้น

คำสั่งปิด/พักใช้โรงงาน, เพิกถอน/ไม่ต่อใบอนุญาต, คำสั่งมาตรการแก้มลพิษ

คำสั่งทางปกครองที่พบบ่อย ได้แก่:

  • คำสั่งให้แก้ไขปรับปรุง: เช่น คำสั่งของกรมควบคุมมลพิษให้ติดตั้งระบบบำบัดอากาศเสียภายใน 90 วัน
  • คำสั่งพักใช้ใบอนุญาต: เช่น คำสั่งของกรมโรงงานอุตสาหกรรมให้หยุดประกอบกิจการชั่วคราว 30 วัน เพื่อแก้ไขเครื่องจักรที่ไม่ปลอดภัย
  • คำสั่งเพิกถอนใบอนุญาต/ไม่ต่ออายุใบอนุญาต: เป็นมาตรการที่รุนแรงที่สุด มักใช้กรณีที่มีการฝ่าฝืนกฎหมายอย่างร้ายแรงและต่อเนื่อง
  • คำสั่งปรับทางปกครอง: การลงโทษเป็นตัวเงินสำหรับการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายบางประการ

ขั้นตอนอุทธรณ์ทางปกครอง, ขอทุเลาคำสั่ง, ฟ้องศาลปกครอง

เมื่อได้รับคำสั่งทางปกครองที่ไม่เห็นด้วย ผู้ประกอบการมีสิทธิดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้:

  1. อุทธรณ์ภายในฝ่ายปกครอง: ต้องยื่นอุทธรณ์ต่อหน่วยงานที่กฎหมายกำหนด (โดยทั่วไปคือหน่วยงานระดับสูงกว่าผู้ออกคำสั่ง) ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด (เช่น 15 หรือ 30 วัน)
  2. ฟ้องคดีต่อศาลปกครอง: หากผลการพิจารณาอุทธรณ์ยังคงยืนตามคำสั่งเดิม หรือไม่มีการพิจารณาอุทธรณ์ภายในเวลาอันควร ผู้ประกอบการสามารถยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งผลอุทธรณ์ หรือวันที่ครบกำหนดเวลาพิจารณาอุทธรณ์
  3. การขอทุเลาการบังคับตามคำสั่ง (Stay of Execution): ในระหว่างการพิจารณาคดี คำสั่งทางปกครองนั้นยังคงมีผลบังคับใช้ ผู้ประกอบการสามารถยื่นคำร้องต่อศาลปกครองเพื่อขอให้มีคำสั่ง “ทุเลาการบังคับ” หรือระงับผลของคำสั่งนั้นไว้เป็นการชั่วคราวได้ ศาลจะพิจารณาอนุญาตเมื่อเข้าเงื่อนไข 3 ประการ คือ:
    • คำสั่งทางปกครองนั้น น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย
    • การให้คำสั่งมีผลบังคับต่อไปจะทำให้เกิด ความเสียหายอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลัง
    • การทุเลาการบังคับ ไม่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารงานของรัฐหรือบริการสาธารณะ

คดีแพ่งจากมลพิษและความเสียหายสิ่งแวดล้อม

คดีแพ่งมุ่งเน้นการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเอกชนหรือชุมชน โดยมีเป้าหมายหลักคือการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนและการฟื้นฟูสภาพแวดล้อม

ละเมิด ค่าเสียหาย, ฟื้นฟูสภาพแวดล้อม, คดีแบบกลุ่ม/ผู้บริโภค

โจทก์ในคดีแพ่งสิ่งแวดล้อมอาจเป็นบุคคลคนเดียว กลุ่มบุคคล หรือชุมชนที่ได้รับผลกระทบ คำขอท้ายฟ้องมักประกอบด้วย:

  • ค่าเสียหายต่อชีวิตและร่างกาย: ค่ารักษาพยาบาล, ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้, ค่าปลงศพ
  • ค่าเสียหายต่อทรัพย์สิน: มูลค่าพืชผลทางการเกษตรที่เสียหาย, ราคาที่ดินที่ลดลง, ค่าซ่อมแซมบ้านเรือน
  • ค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูสภาพแวดล้อม: ต้นทุนในการขจัดมลพิษออกจากแหล่งน้ำหรือดินให้กลับสู่สภาพเดิม
  • ค่าเสียหายต่อสุขภาพจิต (ค่าทำขวัญ)

ดังที่กล่าวข้างต้น คดีแบบกลุ่ม (Class Action) ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ผู้เสียหายรายย่อยจำนวนมากสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

EIA/EHIA สำหรับโรงงานและโครงการอุตสาหกรรม

กระบวนการ EIA/EHIA ถือเป็นด่านแรกและด่านที่สำคัญที่สุดในการบริหารความเสี่ยงทางกฎหมายของโครงการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่

ต่างกันอย่างไร, โครงการใดต้องทำ, กระบวนการทบทวนและมีส่วนร่วมสาธารณะ

  • EIA (Environmental Impact Assessment): คือ การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการที่เข้าข่ายตามประเภทและขนาดที่ ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำหนด
  • EHIA (Environmental and Health Impact Assessment): คือ การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ซึ่งมีความเข้มข้นกว่า EIA โดยจะบังคับใช้กับโครงการที่อาจก่อให้เกิด ผลกระทบอย่างรุนแรง ต่อทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย และคุณภาพชีวิตของชุมชน

ทั้งสองกระบวนการมีหัวใจสำคัญคือ การมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ต้องมีการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นอย่างน้อย 1-2 ครั้ง เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียได้แสดงข้อกังวลและข้อเสนอแนะ ซึ่งผู้จัดทำรายงานมีหน้าที่ต้องนำข้อกังวลเหล่านั้นมาพิจารณาและกำหนดมาตรการป้องกันแก้ไขไว้ในรายงาน

เงื่อนไขอนุมัติ การปฏิบัติตาม การติดตามตรวจสอบ

เมื่อรายงาน EIA/EHIA ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) แล้ว มาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Mitigation Measures) และมาตรการติดตามตรวจสอบ (Monitoring Measures) ที่ระบุไว้ในรายงานจะถือเป็น เงื่อนไขทางกฎหมายที่ผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ตลอดระยะเวลาของโครงการ โดยต้องจัดทำและส่งรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการ (Monitoring Report) ให้แก่ สผ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามรอบระยะเวลาที่กำหนด

ความเสี่ยงที่ทำให้รายงาน “ไม่ผ่าน” และวิธีแก้เกมเชิงเอกสาร/ข้อมูล

รายงาน EIA/EHIA อาจไม่ได้รับความเห็นชอบจาก คชก. ด้วยหลายสาเหตุ แต่สาเหตุหลักที่มักเป็นประเด็นในการฟ้องคดี คือ:

  • ข้อมูลพื้นฐานไม่ถูกต้องหรือไม่เพียงพอ: เช่น การสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพไม่ครอบคลุม
  • การประเมินผลกระทบขาดความน่าเชื่อถือ: เช่น ใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่ไม่เหมาะสม
  • มาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ

กระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนมีข้อบกพร่อง: เช่น แจ้งข้อมูลไม่ทั่วถึง, ไม่เปิดโอกาสให้แสดงความเห็นอย่างเพียงพอ, หรือไม่นำข้อกังวลของประชาชนมาพิจารณาอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นประเด็นที่ศาลปกครองให้ความสำคัญอย่างยิ่ง

ตารางที่ 1 การบริหารความเสี่ยงในกระบวนการจัดทำรายงาน EIA/EHIA

ความเสี่ยง

สาเหตุที่พบบ่อย

แนวทางแก้ไขเชิงกลยุทธ์

กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนบกพร่อง

- แจ้งข้อมูลไม่ทั่วถึง 

- เอกสารรับฟังความเห็นไม่สมบูรณ์ 

- ไม่ตอบข้อกังวลของชุมชนในรายงาน

- จัดทำแผนการมีส่วนร่วมอย่างเป็นระบบ 

- บันทึกการประชุมทุกครั้งอย่างละเอียด 

- จัดทำตารางสรุปข้อกังวลและแนวทางแก้ไข (Concern-Response Matrix) ในภาคผนวกของรายงาน

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ถูกโต้แย้ง

- เก็บตัวอย่างไม่ถูกหลักวิชาการ 

- ใช้ข้อมูลทุติยภูมิที่เก่าเกินไป 

- แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ไม่เหมาะสม

- ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการเก็บตัวอย่าง 

- ทำการสำรวจข้อมูลปฐมภูมิใหม่เสมอ

- เลือกใช้แบบจำลองที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลและเหมาะสมกับบริบทของพื้นที่

มาตรการป้องกันและแก้ไขไม่เพียงพอ

- มาตรการกว้างเกินไป ไม่เฉพาะเจาะจง 

- ขาดความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ - ไม่ได้จัดสรรงบประมาณรองรับ

- กำหนดมาตรการที่ชัดเจน วัดผลได้ (SMART)

- ประเมินความเป็นไปได้ทางเทคนิคและเศรษฐศาสตร์

- ระบุงบประมาณสำหรับแต่ละมาตรการในรายงาน 2

ขั้นตอนดำเนินคดีและการจัดการพยานหลักฐานเชิงเทคนิค

ในคดีสิ่งแวดล้อม การต่อสู้กันด้วยพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผลของคดี

แผนที่ทางคดี (Timeline): ตรวจ–สั่งการ–อุทธรณ์/ฟ้อง–ชั้นศาล

  1. การตรวจสอบ (Inspection): เจ้าพนักงานเข้าตรวจสอบโรงงาน
  2. การออกคำสั่ง (Order Issuance): หน่วยงานรัฐออกคำสั่งทางปกครอง (หากพบการกระทำผิด)
  3. การอุทธรณ์ภายใน (Internal Appeal): ผู้ประกอบการยื่นอุทธรณ์ (ภายใน 15-30 วัน)
  4. การฟ้องคดี (Litigation): ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง (ภายใน 90 วันหลังสิ้นสุดกระบวนการอุทธรณ์)
  5. กระบวนการในชั้นศาล (Court Proceedings): แลกเปลี่ยนคำให้การ, สืบพยาน, ไต่สวน, ทำคำพิพากษา

หลักฐานด้านสิ่งแวดล้อม: การสุ่มตัวอย่าง, chain of custody, ห้องแล็บรับรอง (ISO/IEC 17025)

ความน่าเชื่อถือของผลการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ขึ้นอยู่กับความถูกต้องของกระบวนการทั้งหมด ตั้งแต่การเก็บจนถึงการตรวจวิเคราะห์:

  • การสุ่มตัวอย่าง (Sampling): ต้องดำเนินการตามมาตรฐานที่หน่วยงานราชการกำหนด เช่น แนวทางของกรมควบคุมมลพิษหรือกรมโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อให้ตัวอย่างเป็นตัวแทนของสภาพแวดล้อมจริง
  • ห่วงโซ่การคุ้มครองพยานหลักฐาน (Chain of Custody): คือเอกสารที่บันทึกการส่งมอบพยานหลักฐานเป็นทอดๆ ตั้งแต่ผู้เก็บตัวอย่าง ผู้ขนส่ง จนถึงเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ เพื่อยืนยันว่าตัวอย่างไม่มีการปนเปื้อนหรือสับเปลี่ยนระหว่างทาง การขาด Chain of Custody ที่สมบูรณ์อาจทำให้หลักฐานนั้นถูกปฏิเสธความน่าเชื่อถือในชั้นศาลได้
  • ห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรอง (Accredited Laboratory): ผลการวิเคราะห์ต้องมาจากห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025 ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลสำหรับความสามารถของห้องปฏิบัติการทดสอบ เพื่อให้ผลการวิเคราะห์เป็นที่ยอมรับและเชื่อถือได้ในทางกฎหมาย

ตารางที่ 2 แนวทางการจัดการพยานหลักฐานเชิงเทคนิค

ชนิดหลักฐาน

วิธีเก็บและรักษา

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย

ตัวอย่างน้ำทิ้ง

-ใช้ภาชนะบรรจุที่สะอาด/ปลอดเชื้อ 

-เติมสารรักษาสภาพ (ถ้าจำเป็น) 

- แช่เย็นที่อุณหภูมิประมาณ 4 องศาเซลเซียส 

- ติดป้ายระบุข้อมูลครบถ้วน

- ใช้ขวดน้ำดื่มเก่าซึ่งอาจปนเปื้อน -ไม่แช่เย็น ทำให้จุลินทรีย์เปลี่ยนแปลงคุณสมบัติน้ำ - กรอกเอกสาร Chain of Custody ไม่สมบูรณ์

ตัวอย่างดิน

- ใช้อุปกรณ์สแตนเลสหรือเทฟลอน 

- เก็บตัวอย่างแบบผสม (Composite) จากหลายจุด 

- บรรจุในถุงซิปล็อกหรือขวดแก้ว 

- แช่เย็นหากต้องการวิเคราะห์สารระเหยง่าย

- ใช้อุปกรณ์ที่เป็นสนิม 

- เก็บตัวอย่างจากผิวหน้าดินเพียงจุดเดียว 

- ป้ายระบุข้อมูลไม่ชัดเจน

ตัวอย่างอากาศ

- ใช้อุปกรณ์เก็บตัวอย่างอากาศที่สอบเทียบแล้ว 

- ปฏิบัติตามวิธีมาตรฐาน (เช่น US EPA Method) 

- บันทึกสภาพอากาศขณะเก็บตัวอย่าง  

- อุปกรณ์ไม่ผ่านการสอบเทียบ (Calibration) 

- ระยะเวลาเก็บตัวอย่างสั้นหรือนานเกินไป 

- ไม่บันทึกข้อมูลการไหลของอากาศ

ผู้เชี่ยวชาญ, แบบจำลองการกระจายตัว, บันทึกข้อมูล SCADA/EMS

คดีสิ่งแวดล้อมมักต้องอาศัย พยานผู้เชี่ยวชาญ (Expert Witness) ในการอธิบายผลการวิเคราะห์ที่ซับซ้อนต่อศาล รวมถึงการใช้ แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ (เช่น แบบจำลองการกระจายตัวของมลพิษทางอากาศ) เพื่อพิสูจน์ความเชื่อมโยงระหว่างแหล่งกำเนิดมลพิษกับพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ ข้อมูลจากระบบควบคุมของโรงงานเอง เช่น SCADA หรือ CEMS (Continuous Emission Monitoring Systems) ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่สามารถใช้ยืนยันการปฏิบัติตามกฎหมาย หรือในทางกลับกัน ก็อาจเป็นหลักฐานมัดตัวเองได้หากพบว่ามีการปล่อยมลพิษเกินมาตรฐาน

กลยุทธ์ป้องกันไม่ให้เกิดข้อพิพาท (Pre-Dispute Compliance)

การลงทุนในการป้องกันย่อมดีกว่าการต่อสู้คดีที่มีค่าใช้จ่ายสูงและส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงขององค์กร

Self-Audit & Corrective Action, เอกสารเชิงป้องกันเมื่อถูกตรวจ

ผู้ประกอบการควรจัดให้มีการตรวจสอบและประเมินตนเองด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Self-Audit) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อค้นหาจุดที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดกฎหมาย และเมื่อพบข้อบกพร่อง ควรนำเข้าสู่กระบวนการ ดำเนินการแก้ไขและป้องกัน (Corrective and Preventive Action – CAPA) ที่เป็นระบบ ซึ่งประกอบด้วย:

  1. ระบุปัญหา (Identification): ตรวจพบการรั่วซึมของสารเคมี
  2. หาสาเหตุที่แท้จริง (Root Cause Analysis): พบว่าซีลปะเก็นเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน
  3. ดำเนินการแก้ไข (Corrective Action): เปลี่ยนซีลปะเก็นที่รั่วซึม และทำความสะอาดพื้นที่ปนเปื้อน
  4. ดำเนินการป้องกัน (Preventive Action): จัดทำแผนบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) เพื่อเปลี่ยนซีลปะเก็นทุกๆ 2 ปี ก่อนที่จะเกิดการรั่วซึมอีก

นอกจากนี้ การจัดเตรียมเอกสารสำคัญให้พร้อมสำหรับการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่เสมอ จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและลดความเสี่ยงที่จะถูกตั้งข้อสังเกตในประเด็นเล็กน้อย

ทำไมควรปรึกษาทนายคดีสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ต้นเรื่อง

การปรึกษาทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ระยะเริ่มต้นของโครงการหรือก่อนเกิดข้อพิพาท จะช่วยให้ผู้ประกอบการได้รับประโยชน์เชิงกลยุทธ์หลายประการ เช่น:

  • ประเมินความเสี่ยงทางกฎหมาย (Legal Risk Assessment): ช่วยวิเคราะห์ว่าโครงการเข้าข่ายต้องทำ EIA/EHIA หรือไม่ และมีความเสี่ยงทางกฎหมายใดบ้าง
  • กำกับดูแลกระบวนการทางกฎหมาย: ตรวจสอบให้แน่ใจว่ากระบวนการจัดทำ EIA/EHIA โดยเฉพาะการรับฟังความคิดเห็น เป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อลดความเสี่ยงที่จะถูกฟ้องเพิกถอนในภายหลัง
  • วางแผนรับมือภาวะวิกฤต (Crisis Management): ให้คำแนะนำในการสื่อสารกับหน่วยงานรัฐ ชุมชน และสื่อมวลชนอย่างถูกต้องเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินด้านสิ่งแวดล้อม
  • รักษาเอกสิทธิ์ระหว่างทนายความกับลูกความ (Attorney-Client Privilege): การสื่อสารและการตรวจสอบภายในที่ดำเนินการผ่านทนายความอาจได้รับการคุ้มครอง ไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามนำไปใช้เป็นพยานหลักฐานในชั้นศาลได้

การมีที่ปรึกษากฎหมายตั้งแต่เนิ่น ๆ คือการลงทุนเพื่อการบริหารความเสี่ยง ไม่ใช่เพียงค่าใช้จ่ายเพื่อการต่อสู้คดี

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

ต้องตรวจสอบกับ "ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดโครงการ กิจการ หรือการดำเนินการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมฯ" ฉบับล่าสุด ซึ่งจะระบุประเภทและขนาดของโครงการที่เข้าข่ายไว้อย่างชัดเจน

ต้องยื่นคำร้องต่อศาลปกครองพร้อมกับการยื่นฟ้องคดี โดยแสดงให้ศาลเห็นว่าคำสั่งนั้นน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย การบังคับตามคำสั่งจะก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงที่ยากจะเยียวยา และการทุเลาไม่เป็นอุปสรรคต่อประโยชน์สาธารณะ

คำนวณจากความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าสูญเสียรายได้ ค่าทรัพย์สินเสียหาย และค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ซึ่งต้องมีพยานหลักฐานสนับสนุนอย่างชัดเจน

ระยะเวลาขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของคดี โดยทั่วไปอาจใช้เวลาตั้งแต่ 1-3 ปีในศาลปกครองชั้นต้น และอาจใช้เวลาอีก 1-2 ปีในชั้นศาลปกครองสูงสุด

อัตราค่าบริการจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของคดี ปริมาณงาน และประสบการณ์ของทนายความ โดยอาจคิดเป็นรายชั่วโมง (time charge) หรือเป็นอัตราเหมา (flat fee) สำหรับแต่ละขั้นตอนของคดี

กระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่ไม่โปร่งใสหรือไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ถือเป็นข้อบกพร่องร้ายแรงที่อาจนำไปสู่การฟ้องคดีและศาลปกครองอาจมีคำพิพากษาให้เพิกถอนรายงานที่ได้รับความเห็นชอบแล้วได้

เอกสารที่ควรเตรียม

การเตรียมเอกสารให้พร้อมเสมอเป็นส่วนหนึ่งของการกำกับดูแลกิจการที่ดีและช่วยให้การตรวจสอบจากหน่วยงานราชการเป็นไปอย่างราบรื่น

เช็กลิสต์เอกสารสำคัญ:

  • ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (ร.ง.4) และเงื่อนไขแนบท้าย
  • ใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องอื่นๆ (เช่น ใบอนุญาตเกี่ยวกับวัตถุอันตราย, การใช้น้ำ)
  • รายงาน EIA/EHIA ฉบับสมบูรณ์ที่ได้รับความเห็นชอบ
  • รายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการ (Monitoring Report) ที่ส่งให้ สผ. ย้อนหลังอย่างน้อย 3-5 ปี
  • ผลการตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อม (น้ำทิ้ง, อากาศจากปล่อง, คุณภาพอากาศในบรรยากาศ) จากห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรอง
  • เอกสารการกำจัดกากอุตสาหกรรม (Manifest)
  • บันทึกการฝึกอบรมพนักงานด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย
  • แผนฉุกเฉินและบันทึกการซ้อมแผน
  • บันทึกการตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบควบคุมมลพิษ

ฝากข้อความ

โปรดกรอกแบบฟอร์มแล้วเราจะติดต่อคุณโดยเร็วที่สุด

    Scroll to Top