jirawatlawoffice

พื้นที่ปฏิบัติงานของเรา

คดีอาญา

แนวทางปฏิบัติและสิทธิของคุณภายใต้กฎหมายไทย

การเผชิญหน้ากับคดีอาญาอาจเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ตึงเครียดและน่ากังวลที่สุดในชีวิต ไม่ว่าท่านจะอยู่ในสถานะใดของกระบวนการยุติธรรม ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา หรือจำเลย ความไม่แน่นอนและความซับซ้อนของกฎหมายอาจทำให้รู้สึกท่วมท้น ที่ JIRAWAT & ASSOCIATES LAW OFFICE เราเข้าใจถึงความท้าทายเหล่านี้ ทีมทนายความผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมมอบความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่ลึกซึ้งในระบบยุติธรรมทางอาญาของไทย เพื่อเป็นแนวทางและปกป้องสิทธิของท่านในทุกย่างก้าว

บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้ที่ครอบคลุมเกี่ยวกับกฎหมายอาญาของประเทศไทย โดยอ้างอิงจากประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่เป็นบรรทัดฐานสำคัญ เพื่อให้ท่านมีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับภาพรวมของคดีอาญา กระบวนการดำเนินคดี และสิทธิที่ท่านพึงมีตามกฎหมาย

ส่วนที่ 1 รากฐานแห่งกฎหมายอาญาไทย

1. ภูมิทัศน์แห่งความผิดทางอาญาในประเทศไทย

1.1 ประมวลกฎหมายอาญา: กรอบกฎหมายที่ครอบคลุม

ประมวลกฎหมายอาญาถือเป็นหัวใจหลักของกฎหมายอาญาไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาค 2 ความผิด ซึ่งครอบคลุมมาตรา 107 ถึง 366/4  ได้บัญญัติฐานความผิดทางอาญาไว้อย่างเป็นระบบ กฎหมายได้จัดกลุ่มความผิดออกเป็น 13 ลักษณะ (หมวดใหญ่) ตามประเภทของการกระทำที่กระทบต่อสิทธิ หรือประโยชน์ที่กฎหมายคุ้มครอง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงขอบเขตที่กว้างขวางของกฎหมายอาญา ตั้งแต่ความผิดต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร, ความผิดเกี่ยวกับการปกครอง, ความผิดต่อการยุติธรรม, ไปจนถึงความผิดที่กระทบต่อปัจเจกบุคคลโดยตรง เช่น ความผิดต่อชีวิตและร่างกาย, ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ และความผิดต่อเสรีภาพและชื่อเสียง

1.2 ความแตกต่างที่สำคัญ: ความผิดอาญาแผ่นดินและความผิดต่อส่วนตัว

ความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างความผิดสองประเภทนี้เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นตัวกำหนด “ประตูสู่กระบวนการยุติธรรม” และส่งผลโดยตรงต่อแนวทางการดำเนินคดี

  • ความผิดอาญาแผ่นดิน (Public Offenses): คือความผิดที่ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคมโดยรวม รัฐในฐานะผู้เสียหายจึงมีอำนาจในการสืบสวนสอบสวนและฟ้องร้องผู้กระทำผิดได้เสมอ แม้ผู้เสียหายโดยตรงจะไม่ต้องการดำเนินคดีก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถเริ่มการสอบสวนได้ทันทีเมื่อพบเห็นการกระทำผิด หรือเมื่อมีผู้ใดก็ได้มา “กล่าวโทษ” ตัวอย่างเช่น คดีฆาตกรรม, ชิงทรัพย์, วางเพลิง หรือทำร้ายร่างกายจนได้รับอันตรายสาหัส
  • ความผิดต่อส่วนตัว (Compoundable/Private Offenses): คือความผิดที่กระทบต่อเอกชนคนใดคนหนึ่งเป็นการเฉพาะ การดำเนินคดีจึงขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้เสียหายเป็นสำคัญ หากผู้เสียหายไม่ประสงค์จะดำเนินคดี รัฐจะไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ กฎหมายจะระบุไว้อย่างชัดเจนในตอนท้ายของมาตรานั้นๆ ว่าความผิดใดเป็นความผิดอันยอมความได้  ตัวอย่างเช่น คดีหมิ่นประมาท, ฉ้อโกง, ยักยอกทรัพย์

จุดชี้ขาดของความผิดต่อส่วนตัวคือ “คำร้องทุกข์” ที่ถูกต้อง และ “อายุความ” ที่สั้นเป็นพิเศษ หากผู้เสียหายไม่ดำเนินการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนภายใน 3 เดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด คดีจะถือเป็นอันขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 และจะสูญเสียสิทธิในการดำเนินคดีอาญาไปอย่างถาวร  เท่ากับว่าผู้เสียหายเป็นผู้ถือกุญแจในการเริ่มต้นกระบวนการยุติธรรม หากไม่ใช้กุญแจดอกนี้ภายในเวลาที่กำหนด ประตูสู่การดำเนินคดีอาญาจะถูกปิดลงอย่างถาวร ซึ่งในทางกลับกัน สำหรับผู้ถูกกล่าวหา ประเด็นเรื่องอายุความและการร้องทุกข์ที่ถูกต้องจึงมักเป็นข้อต่อสู้แรกที่สำคัญที่สุดในคดีประเภทนี้

ตารางที่ 1 เปรียบเทียบความแตกต่างสำคัญระหว่างความผิดต่อส่วนตัวและอาญาแผ่นดิน

คุณลักษณะ

ความผิดต่อส่วนตัว (Compoundable Offense)

ความผิดอาญาแผ่นดิน (Public Offense)

การเริ่มต้นคดี

ต้องมีการ “ร้องทุกข์” โดยผู้เสียหายเท่านั้น

เริ่มได้จากการ “ร้องทุกข์” ของผู้เสียหาย, การ “กล่าวโทษ” ของบุคคลอื่น, หรือเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจพบเอง

อายุความ

มีอายุความร้องทุกข์ 3 เดือนนับแต่รู้เรื่องและรู้ตัวผู้กระทำผิด (ป.อ. มาตรา 96)

มีอายุความทั่วไปที่ยาวกว่า ขึ้นอยู่กับอัตราโทษ (ป.อ. มาตรา 95)

อำนาจรัฐ

พนักงานสอบสวน/อัยการ ไม่มีอำนาจสอบสวนหรือฟ้องคดี หากไม่มีคำร้องทุกข์ที่ถูกต้อง

พนักงานสอบสวน/อัยการ มีอำนาจดำเนินคดีได้เสมอโดยไม่ขึ้นกับความประสงค์ของผู้เสียหาย

การถอนคดี/ยอมความ

ผู้เสียหายสามารถถอนคำร้องทุกข์หรือยอมความได้ตลอดเวลาจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ซึ่งจะทำให้คดีอาญาระงับไป

ผู้เสียหายไม่สามารถถอนคดีหรือยอมความได้ รัฐจะดำเนินคดีต่อไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ

ตัวอย่างความผิด

หมิ่นประมาท (ป.อ. มาตรา 326), ฉ้อโกง (ป.อ. มาตรา 341), ยักยอก (ป.อ. มาตรา 352)

ฆ่าผู้อื่น (ป.อ. มาตรา 288), ชิงทรัพย์ (ป.อ. มาตรา 339), ทำร้ายร่างกาย (ป.อ. มาตรา 295)

ส่วนที่ 2 ภาพรวมในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา

2. จุดเริ่มต้นของคดีอาญา จากเหตุการณ์สู่การสืบสวน

2.1 การริเริ่มกระบวนการ คำร้องทุกข์ และ คำกล่าวโทษ

  • คำร้องทุกข์ (Complaint): ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(7) หมายถึงการที่ “ผู้เสียหาย” ได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้น และการกล่าวหานั้นมีเจตนาเพื่อให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ  สิ่งสำคัญคือ “เจตนา” นี้ หากเป็นเพียงการแจ้งความไว้เพื่อเป็นหลักฐาน หรือเพื่อป้องกันคดีขาดอายุความ โดยไม่ได้มีเจตนาจะให้ดำเนินคดีอย่างแท้จริง ศาลฎีกาได้วางแนววินิจฉัยไว้ว่าไม่ถือเป็นคำร้องทุกข์ที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6644/2549 และ 228/2544)
  • คำกล่าวโทษ (Accusation): ตามมาตรา 2(8) หมายถึงการที่บุคคลอื่นซึ่ง “ไม่ใช่ผู้เสียหาย” ได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้น  ใครก็ตามที่พบเห็นการกระทำความผิดที่เป็น “อาญาแผ่นดิน” สามารถกล่าวโทษเพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการได้

2.2 การสอบสวนของตำรวจและ 48 ชั่วโมงแรกที่สำคัญยิ่ง

เมื่อมีการร้องทุกข์หรือกล่าวโทษแล้ว พนักงานสอบสวนจะเข้ามามีบทบาทในการรวบรวมพยานหลักฐาน สอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้อง และสรุปสำนวนคดี ในขั้นตอนนี้ กฎหมายได้ให้ความคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ถูกกล่าวหา โดยกำหนดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมีอำนาจควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ได้ไม่เกิน 48 ชั่วโมงนับแต่เวลาที่ผู้ถูกจับมาถึงที่ทำการของพนักงานสอบสวน หากต้องการควบคุมตัวไว้นานกว่านั้น จะต้องนำตัวผู้ต้องหาไปยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอ “ฝากขัง” เท่านั้น 

3. เส้นทางสู่ศาล การสั่งฟ้องและการยื่นฟ้อง

3.1 การฟ้องคดีโดยรัฐ

นี่คือช่องทางปกติของคดีอาญาส่วนใหญ่ เมื่อการสอบสวนเสร็จสิ้น พนักงานสอบสวนจะส่งสำนวนพร้อมความเห็นไปยังพนักงานอัยการ ซึ่งจะเป็นผู้พิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมดและมีคำสั่งเด็ดขาดว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้องคดีต่อศาล 

3.2 การฟ้องคดีโดยเอกชน: ทางเลือกของผู้เสียหาย

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28(2) ได้ให้สิทธิแก่ “ผู้เสียหาย” ในการยื่นฟ้องคดีอาญาต่อศาลได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องผ่านพนักงานอัยการ การฟ้องคดีเองมีข้อดีคือผู้เสียหายสามารถควบคุมทิศทางของคดีได้อย่างเต็มที่ แต่ก็มีข้อเสียคือภาระในการรวบรวมพยานหลักฐานและการพิสูจน์ความผิดทั้งหมดจะตกอยู่กับผู้เสียหายแต่เพียงผู้เดียว

4. กระบวนการในชั้นศาล: การพิจารณาพิพากษาและอุทธรณ์

4.1 การไต่สวนมูลฟ้อง (Preliminary Hearing)

สำหรับคดีที่ผู้เสียหายฟ้องเอง ศาลจะกำหนดให้มี “การไต่สวนมูลฟ้อง” เป็นขั้นตอนแรกเสมอ ศาลจะพิจารณาพยานหลักฐานเบื้องต้นที่โจทก์ (ผู้เสียหาย) นำเสนอ เพื่อวินิจฉัยว่าคดีมีมูลเพียงพอที่จะรับไว้พิจารณาต่อไปหรือไม่ หากศาลเห็นว่าคดีไม่มีมูล ก็จะพิพากษายกฟ้องไปในชั้นนี้ 

4.2 การพิจารณาและพิพากษา

หากคดีมีมูล (ในคดีราษฎรฟ้อง) หรืออัยการเป็นผู้ฟ้อง ศาลจะประทับรับฟ้องและเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น ซึ่งประกอบด้วยการสอบคำให้การจำเลย การนำสืบพยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์และจำเลย การแถลงการณ์ปิดคดี และการมีคำพิพากษาในที่สุด

4.3 กระบวนการอุทธรณ์-ฎีกา

คู่ความฝ่ายที่ไม่พอใจในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นมีสิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาไปยังศาลอุทธรณ์ และหากยังไม่พอใจในคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ก็สามารถยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาต่อศาลฎีกาเป็นลำดับสุดท้ายได้

ส่วนที่ 3 ทำความเข้าใจสิทธิและสถานะของคุณ

5. สิทธิของผู้ต้องหาและจำเลย

กฎหมายไทยให้การรับรองสิทธิขั้นพื้นฐานหลายประการเพื่อคุ้มครองบุคคลที่ตกเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญา การทราบและเข้าใจสิทธิเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

  • สิทธิที่จะไม่ให้การปรักปรำตนเอง (Right to Remain Silent): ท่านมีสิทธิที่จะนิ่งและไม่ให้การใดๆ ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะคำให้การของท่านอาจถูกใช้เป็นพยานหลักฐานในชั้นศาลได้ เจ้าพนักงานต้องแจ้งสิทธินี้ให้ท่านทราบก่อนเริ่มการสอบปากคำ  การนิ่งเงียบหรือไม่ตอบคำถาม ไม่ถือเป็นความผิด และไม่สามารถนำไปอนุมานว่าท่านเป็นผู้กระทำผิดได้ 
  • สิทธิที่จะมีทนายความ (Right to Legal Counsel): ท่านมีสิทธิที่จะปรึกษาทนายความและให้ทนายความเข้าร่วมฟังการสอบสวนได้ตั้งแต่ชั้นจับกุม หากเป็นคดีที่มีอัตราโทษสูงและท่านไม่มีทนายความ รัฐมีหน้าที่จัดหาทนายความให้ 
  • สิทธิในการได้รับการปล่อยชั่วคราว (ประกันตัว – Right to Bail): การปล่อยชั่วคราวเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ท่านมีอิสรภาพในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ศาลจะพิจารณาคำร้องขอปล่อยชั่วคราวโดยอาศัยหลักเกณฑ์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 108 เช่น ความหนักเบาของข้อหา, พยานหลักฐาน, พฤติการณ์แห่งคดี, และความน่าเชื่อถือของหลักประกัน  ศาลจะสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวได้ต่อเมื่อมีเหตุอันควรเชื่อตามมาตรา 108/1 เช่น ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะหลบหนี, จะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน, หรือจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น  หลักประกันที่สามารถใช้ได้มีหลายประเภท เช่น เงินสด, โฉนดที่ดิน หรือหลักทรัพย์อื่นๆ ตามมาตรา 114
  • สิทธิพื้นฐานอื่นๆ: ท่านยังมีสิทธิได้รับการเยี่ยมหรือติดต่อกับญาติได้ตามสมควร, สิทธิที่จะได้รับการรักษาพยาบาลโดยเร็วเมื่อเจ็บป่วย และสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีที่รวดเร็วและเป็นธรรม 

6. บทบาทและสิทธิของผู้เสียหาย

6.1 ใครคือ “ผู้เสียหาย” ตามกฎหมายไทย?

นิยามตามกฎหมายของคำว่า “ผู้เสียหาย” ปรากฏอยู่ใน ป.วิ.อ. มาตรา 2(4) ซึ่งหมายถึง “บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้” เช่น บิดามารดาของผู้เยาว์ 

6.2 ความเข้าใจเชิงลึก: หลักกฎหมายสำคัญเรื่อง “ผู้เสียหายโดยนิตินัย”

นี่คือหลักกฎหมายที่สำคัญอย่างยิ่งซึ่งไม่ได้ถูกบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในตัวบทกฎหมาย แต่เป็นหลักการที่ศาลฎีกาพัฒนาขึ้นจากแนวคำพิพากษามาอย่างยาวนาน โดยอยู่บนพื้นฐานของหลักสุจริตที่ว่า “ผู้ที่จะมาพึ่งบารมีศาล ต้องมาศาลด้วยมือที่สะอาด” (One must come to court with clean hands)

หลักการนี้หมายความว่า บุคคลที่จะมีสิทธิต่างๆ ในฐานะผู้เสียหายตามกฎหมายได้นั้น จะต้องเป็น “ผู้เสียหายโดยนิตินัย” กล่าวคือ จะต้องเป็นผู้ที่ไม่มีส่วนร่วมหรือยินยอมในการกระทำความผิด หรือไม่ได้เป็นผู้ก่อให้เกิดการกระทำความผิดนั้นขึ้นเอง

การสูญเสียสถานะ “ผู้เสียหายโดยนิตินัย” ไม่ใช่เพียงปัญหาทางเทคนิคเล็กน้อย แต่ส่งผลกระทบร้ายแรงเป็น “โดมิโน” ทำให้สิทธิต่างๆ ของผู้เสียหายในคดีอาญาล้มครืนลงทั้งหมด:

  1. เสียสิทธิร้องทุกข์: ในคดีความผิดต่อส่วนตัว หากท่านไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย คำร้องทุกข์ของท่านจะไม่มีผลทางกฎหมาย ทำให้พนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจสอบสวน และอัยการไม่มีอำนาจฟ้อง (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 243/2528) 
  2. เสียสิทธิฟ้องคดีเอง: ท่านจะไม่มีอำนาจฟ้องคดีอาญาต่อศาลด้วยตนเองได้เลย ไม่ว่าจะเป็นความผิดประเภทใดก็ตาม 
  3. เสียสิทธิเข้าร่วมเป็นโจทก์: ในคดีที่อัยการเป็นโจทก์ ท่านจะไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้ (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1604-1605/2512) 
  4. เสียสิทธิอุทธรณ์-ฎีกา: ท่านจะไม่มีสิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาคัดค้านคำพิพากษา 

ตัวอย่างจากแนวคำพิพากษาศาลฎีกา:

  • การยั่วยุ (บันดาลโทสะ): ในคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10908/2556 ผู้ตายได้ด่าทอและท้าทายจำเลยจนเป็นเหตุให้จำเลยกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าผู้ตายเป็นผู้มีส่วนก่อให้เกิดการกระทำผิดขึ้นเอง จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ส่งผลให้มารดาของผู้ตายไม่มีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์หรือเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในคดีอาญาได้ 
  • การสมัครใจเข้าวิวาท: คู่กรณีที่สมัครใจเข้าชกต่อยทะเลาะวิวาทกัน ต่างฝ่ายต่างไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยในความผิดฐานทำร้ายร่างกาย (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7003/2547) 
  • การมีส่วนในเรื่องผิดกฎหมาย: ผู้ที่ถูกโกงเงินจากการเล่นการพนันซึ่งเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยในความผิดฐานฉ้อโกง (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1913/2546) 

6.3 สิทธิของผู้เสียหายโดยนิตินัย

หากท่านมีสถานะเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย ท่านจะมีสิทธิที่สำคัญตามกฎหมาย ได้แก่ สิทธิร้องทุกข์, สิทธิฟ้องคดีอาญาเอง, สิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ, และสิทธิยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนทางแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1

ส่วนที่ 4 ประเภทคดีอาญา (อิง “ประมวลกฎหมายอาญา ภาคความผิด”) และฐานความผิดที่พบบ่อยและข้อต่อสู้ทางกฎหมาย

7. ภาพรวมฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา

ประมวลกฎหมายอาญา ภาค 2 ความผิด (มาตรา 107 - 366/4) ได้จัดหมวดหมู่ความผิดต่างๆ ไว้อย่างเป็นระบบ ดังตารางสรุปต่อไปนี้

หมวด/ลักษณะความผิด (Title/Category of Offense)

มาตราที่เกี่ยวข้อง (Relevant Sections)

คำอธิบายและตัวอย่างสถานการณ์ (Description & Common Scenarios)

ลักษณะ 1: ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร

ม. 107-135

ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ฯ, ความมั่นคงของรัฐ, การเป็นกบฏ, การกระทำอันเป็นปรปักษ์ต่อประเทศ

ลักษณะ 1/1: ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย

ม. 135/1-135/4

การกระทำที่เข้าข่ายการก่อการร้าย ซึ่งมีบทลงโทษร้ายแรง

ลักษณะ 2: ความผิดเกี่ยวกับการปกครอง

ม. 136-166

การดูหมิ่นเจ้าพนักงาน, ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน, การให้สินบน, เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

ลักษณะ 3: ความผิดเกี่ยวกับการยุติธรรม

ม. 167-205

การเบิกความเท็จ, แจ้งความเท็จ, การทำลายพยานหลักฐาน, การละเมิดอำนาจศาล

ลักษณะ 4: ความผิดเกี่ยวกับศาสนา

ม. 206-208

การเหยียดหยามศาสนา, การก่อความวุ่นวายในที่ประชุมศาสนสถาน

ลักษณะ 5: ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน

ม. 209-216

การเป็นอั้งยี่, ซ่องโจร, การมั่วสุมก่อความวุ่นวาย

ลักษณะ 6: ความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชน

ม. 217-239

การวางเพลิงเผาทรัพย์, การทำให้เกิดระเบิด, การปล่อยสารพิษ

ลักษณะ 7: ความผิดเกี่ยวกับการปลอมและการแปลง

ม. 240-269

การปลอมเงินตรา, การปลอมเอกสารสิทธิ, การปลอมแปลงดวงตราหรือแสตมป์

ลักษณะ 8: ความผิดเกี่ยวกับการค้า

ม. 270-275

การปลอมเครื่องหมายการค้า, การฉ้อโกงในการค้าขายสินค้า

ลักษณะ 9: ความผิดเกี่ยวกับเพศ

ม. 276-287

การข่มขืนกระทำชำเรา, การกระทำอนาจาร, การเป็นธุระจัดหาเพื่อการค้าประเวณี

ลักษณะ 10: ความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย

ม. 288-308

ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา, ทำร้ายร่างกาย, ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายหรือรับอันตรายสาหัส

ลักษณะ 11: ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพและชื่อเสียง

ม. 309-333

การหน่วงเหนี่ยวกักขัง, การข่มขืนใจ, การลักพาตัว, การหมิ่นประมาท

ลักษณะ 12: ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์

ม. 334-366

ลักทรัพย์, วิ่งราวทรัพย์, ชิงทรัพย์, ปล้นทรัพย์, ยักยอก, ฉ้อโกง, รับของโจร, ทำให้เสียทรัพย์, บุกรุก

ลักษณะ 13: ความผิดเกี่ยวกับศพ

ม. 366/1-366/4

การกระทำอนาจารแก่ศพ, การข่มเหงดูหมิ่นศพ

ความผิดนอกประมวลฯ

พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ, พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ, พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ

คดีพิเศษที่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ เช่น คดียาเสพติด, คดีความผิดทางคอมพิวเตอร์ (พรบ.คอมฯ) ซึ่งมีกระบวนการและบทลงโทษที่แตกต่างออกไป

8.ภาพรวมฐานความผิดทางอาญาที่สำคัญ

สำนักงานของเรามีความเชี่ยวชาญในคดีอาญาหลากหลายประเภท โดยฐานความผิดที่พบบ่อยมีดังนี้:

  • ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์: เช่น ลักทรัพย์, วิ่งราวทรัพย์, ชิงทรัพย์, ปล้นทรัพย์, ฉ้อโกง, ยักยอก, และทำให้เสียทรัพย์
  • ความผิดต่อชีวิตและร่างกาย: เช่น ทำร้ายร่างกาย, ทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส, และความผิดต่อชีวิตซึ่งมีหลายระดับตั้งแต่ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, ฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนา, ไปจนถึงฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
  • ความผิดต่อเสรีภาพและชื่อเสียง (หมิ่นประมาท):
    • องค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 คือการ “ใส่ความ” ผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม ในประการที่น่าจะทำให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง 
    • อย่างไรก็ตาม กฎหมายได้กำหนดข้อยกเว้นความผิดไว้ในมาตรา 329 หากการกระทำนั้นเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เพื่อป้องกันสิทธิหรือประโยชน์อันชอบธรรมของตนเองตามคลองธรรม ก็จะไม่เป็นความผิด 
    • ตัวอย่างที่ชัดเจนคือคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2542/2554 ซึ่งวินิจฉัยว่า การที่จำเลยพูดคุยปรึกษาหารือกับผู้ใหญ่บ้าน (ซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน) เกี่ยวกับพฤติกรรมของโจทก์ร่วมที่อาจสร้างความเสียหายแก่คนในครอบครัวของจำเลย ถือเป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริตเพื่อป้องกันส่วนได้เสียของตนตามคลองธรรม ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 329(1) แต่การที่จำเลยไปพูดประจานเรื่องเดียวกันต่อหน้าบุคคลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง กลับเป็นการกระทำโดยมีเจตนาให้โจทก์ร่วมได้รับความเสียหาย จึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท 
  • ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด:
    • ปัจจุบันกฎหมายยาเสพติดของไทยได้มีการปฏิรูปครั้งใหญ่ โดยมีการประกาศใช้ “พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564” และ “ประมวลกฎหมายยาเสพติด” กฎหมายใหม่นี้ได้ยกเลิกและรวบรวมกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติดฉบับเดิม ๆ หลายฉบับเข้าไว้ด้วยกัน  การต่อสู้คดีในปัจจุบันจึงต้องอาศัยความเข้าใจในบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของกฎหมายใหม่อย่างถ่องแท้

9. การสร้างแนวทางต่อสู้คดี: ข้ออ้างทางกฎหมายที่สำคัญ

การต่อสู้ในเชิงข้อเท็จจริง: เช่น การพิสูจน์ว่าจำเลยไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ (Alibi), การพิสูจน์ว่าเป็นการจำเลยผิดตัว, หรือการพิสูจน์ว่าการกระทำของจำเลยไม่ครบองค์ประกอบความผิด

นอกจากการต่อสู้ในข้อเท็จจริงแล้ว กฎหมายอาญายังมีบทบัญญัติที่เป็น “เหตุยกเว้นความผิด” หรือ “เหตุยกเว้นโทษ” ซึ่งหากเข้าองค์ประกอบแล้ว จะทำให้ผู้กระทำไม่ต้องรับผิดหรือได้รับโทษ

  • การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย (Self-Defense) – มาตรา 68:
    • หลักการคือ ผู้ใดจำต้องกระทำการเพื่อป้องกันสิทธิของตนเองหรือผู้อื่นให้พ้นจากภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง หากได้กระทำไป “พอสมควรแก่เหตุ” การกระทำนั้นไม่เป็นความผิด
    • แต่หากการป้องกันนั้นเกินกว่าเหตุ เช่น ใช้อาวุธร้ายแรงตอบโต้ภยันตรายเพียงเล็กน้อย จะเข้าลักษณะ “ป้องกันเกินกว่าเหตุ” ตามมาตรา 69 ซึ่งยังคงเป็นความผิด แต่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดก็ได้
  • การกระทำโดยจำเป็น (Act of Necessity) – มาตรา 67:
    • เป็นเหตุ “ยกเว้นโทษ” แบ่งได้เป็น 2 กรณี คือ (1) กระทำความผิดเพราะอยู่ในที่บังคับหรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ หรือ (2) กระทำเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยวิธีอื่น โดยที่ตนไม่ได้เป็นผู้ก่อภยันตรายนั้นขึ้น
  • เหตุลดโทษอื่นๆ: เช่น การกระทำความผิดเพราะบันดาลโทสะ (มาตรา 72), การเป็นผู้เยาว์ (มาตรา 73-76), หรือการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ศาล (มาตรา 78) 

ส่วนที่ 5 บทสรุปและการขอคำปรึกษาทางกฎหมาย

10. เหตุผลที่ทนายความผู้เชี่ยวชาญคือบุคคลที่ขาดไม่ได้

จากที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่ากระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทยมีความซับซ้อนและเต็มไปด้วยรายละเอียดที่สำคัญ ตั้งแต่การแยกแยะประเภทของความผิด, กำหนดเวลาทางกฎหมายที่เข้มงวด, หลักการ “ผู้เสียหายโดยนิตินัย” ที่ต้องอาศัยการตีความจากแนวคำพิพากษาศาลฎีกา ไปจนถึงข้อต่อสู้ทางกฎหมายที่ต้องอาศัยความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง การดำเนินคดีโดยปราศจากคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญจึงมีความเสี่ยงสูงอย่างยิ่ง

ที่ JIRAWAT & ASSOCIATES LAW OFFICE เรามุ่งมั่นที่จะใช้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของเราในการปกป้องสิทธิและผลประโยชน์สูงสุดของท่านในทุกขั้นตอนของคดีอาญา ไม่ว่าท่านจะต้องการเริ่มต้นดำเนินคดีในฐานะผู้เสียหาย หรือต้องการแนวทางการต่อสู้คดีที่มีประสิทธิภาพในฐานะผู้ต้องหาหรือจำเลย ทีมงานของเราพร้อมให้คำปรึกษาที่ตรงไปตรงมาและเป็นประโยชน์

หากท่านหรือบุคคลใกล้ชิดกำลังเผชิญกับคดีอาญา โปรดอย่าลังเลที่จะติดต่อเราเพื่อขอรับคำปรึกษาที่เป็นความลับ

ฝากข้อความ

โปรดกรอกแบบฟอร์มแล้วเราจะติดต่อคุณโดยเร็วที่สุด

    Scroll to Top