พื้นที่ปฏิบัติงานของเรา
คดีอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ
คดีทุจริตและประพฤติมิชอบเป็นคดีอาญาประเภทพิเศษที่มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความเชื่อมั่นในระบบราชการ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาประเทศโดยรวม ด้วยเหตุนี้ การดำเนินคดีประเภทนี้จึงต้องอาศัยกลไกทางกฎหมายที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง นั่นคือ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐโดยเฉพาะ
บทความนี้คือคู่มือฉบับสมบูรณ์ที่จัดทำขึ้นเพื่อสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนสำหรับบุคคลสองกลุ่มหลัก ได้แก่ ประชาชนผู้ได้รับความเสียหาย ที่ต้องการใช้สิทธิทางศาลเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม และ เจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ถูกกล่าวหาและจำเป็นต้องเตรียมตัวต่อสู้คดีเพื่อปกป้องสิทธิและความบริสุทธิ์ของตนเอง
ที่ JIRAWAT & ASSOCIATES LAW OFFICE เราเข้าใจว่าคดีทุจริตและประพฤติมิชอบมีกระบวนการและรายละเอียดทางกฎหมายที่แตกต่างจากคดีอาญาทั่วไป การเตรียมคดีอย่างเป็นระบบและความเข้าใจในกระบวนการพิจารณาของศาลโดยเฉพาะจึงเป็นหัวใจสำคัญ
ทำไมต้องมีศาลอาญาคดีทุจริตฯ ปรัชญาและกฎหมายที่ควรรู้
การจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบไม่ได้เป็นเพียงการเพิ่มจำนวนศาล แต่เป็นการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมเพื่อรับมือกับปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันอย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพ
เจตนารมณ์ของการจัดตั้งศาลเฉพาะทาง
เหตุผลเบื้องหลังการจัดตั้งศาลเฉพาะทางแห่งนี้มีรากฐานมาจากความจำเป็นในการรับมือกับปัญหาการทุจริตที่ทวีความซับซ้อนและสร้างความเสียหายต่อประเทศอย่างมหาศาล เจตนารมณ์หลักสามารถสรุปได้ดังนี้:
- ความเชี่ยวชาญ (Expertise): คดีทุจริตมักเกี่ยวข้องกับกฎหมายมหาชน ระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง การเงินการคลัง และเอกสารราชการที่ซับซ้อน ศาลเฉพาะทางที่มีผู้พิพากษาซึ่งมีความรู้ความเข้าใจในบริบทเหล่านี้โดยตรง จะสามารถวินิจฉัยคดีได้อย่างแม่นยำและเป็นธรรม
- ประสิทธิภาพและความรวดเร็ว (Efficiency and Speed): การมีศาลที่รับผิดชอบคดีประเภทนี้โดยตรงช่วยลดภาระของศาลอาญาทั่วไป ทำให้การพิจารณาคดีเป็นไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการอำนวยความยุติธรรม
- การสร้างมาตรฐานบรรทัดฐาน (Standardization): การพิจารณาคดีโดยองค์คณะผู้พิพากษาที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องเดียวกัน ช่วยสร้างแนวคำพิพากษาที่เป็นมาตรฐานและสอดคล้องกัน ส่งผลให้เกิดความชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมาย
กฎหมายสำคัญที่เกี่ยวข้อง
การดำเนินคดีในศาลอาญาคดีทุจริตฯ อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายหลัก 3 ฉบับ ที่ทำงานเชื่อมโยงกัน:
- พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559: เป็นกฎหมายที่ให้กำเนิดศาลนี้ขึ้นมา โดยกำหนดโครงสร้าง เขตอำนาจ และองค์ประกอบของศาล
- พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559: เป็นกฎหมายที่กำหนด “วิธีการ” หรือกระบวนพิจารณาคดีที่เป็นเอกลักษณ์ของศาลนี้ โดยเฉพาะการนำ “ระบบไต่สวน” มาใช้
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561: เป็นกฎหมายที่ให้อำนาจแก่องค์กรอิสระอย่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในการไต่สวนและชี้มูลความผิด ซึ่งเป็นต้นทางของคดีจำนวนมากที่เข้าสู่ศาล
ประเภทคดีของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ (แบ่งตามกลุ่มความผิด)
โดยหลักการแล้ว ศาลนี้มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาที่เจ้าหน้าที่ของรัฐถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด หรือคดีที่บุคคลทั่วไปเป็นผู้สนับสนุนหรือร่วมกระทำผิดกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ คดีส่วนใหญ่สามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มหลัก ๆ ได้ดังนี้
1. กลุ่มคดีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ (Malfeasance & Abuse of Power)
นี่คือกลุ่มคดีที่พบได้บ่อยที่สุด โดยอ้างอิงตามประมวลกฎหมายอาญา ลักษณะ 2 ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
- การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ (มาตรา 157): คดีที่เป็นรากฐานสำคัญของศาลนี้ คือกรณีเจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจกลั่นแกล้ง หรือไม่ทำตามหน้าที่จนทำให้ผู้อื่นเสียหาย
- ตัวอย่าง: เจ้าหน้าที่เทศบาลไม่ออกใบอนุญาตก่อสร้างให้ประชาชนโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร, ตำรวจไม่รับแจ้งความในคดีอาญา, เจ้าหน้าที่ที่ดินประวิงเวลาการจดทะเบียนสิทธิโดยมิชอบ
- การใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต (มาตรา 148): เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจของตนข่มขืนใจหรือจูงใจให้บุคคลอื่นมอบทรัพย์สินให้
- ตัวอย่าง: เจ้าหน้าที่สรรพากรข่มขู่ว่าจะประเมินภาษีสูงเกินจริง หากไม่ยอมจ่ายเงินพิเศษให้
- การยักยอกทรัพย์ของแผ่นดิน (มาตรา 147): เจ้าหน้าที่ซึ่งมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน
- ตัวอย่าง: เจ้าหน้าที่พัสดุเบิกของหลวงไปใช้ส่วนตัว, ผู้บริหารโรงเรียนยักยอกเงินอุดหนุนค่าอาหารกลางวันเด็ก
2. กลุ่มคดีเกี่ยวกับการเรียกรับ ให้ หรือรับสินบน (Bribery)
- เจ้าพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับสินบน (มาตรา 149): การที่เจ้าหน้าที่รัฐเรียกรับเงินหรือผลประโยชน์อื่นใด เพื่อแลกกับการกระทำหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง
ตัวอย่าง: ตำรวจเรียกรับเงินเพื่อแลกกับการไม่ดำเนินคดี, เจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมรับเงินจากผู้ประกอบการเพื่อออกใบอนุญาตที่ผิดกฎระเบียบ
- การให้สินบนเจ้าพนักงาน (มาตรา 144): คดีที่ประชาชนหรือเอกชนเป็นฝ่ายให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่ เพื่อจูงใจให้กระทำการที่มิชอบด้วยหน้าที่
ตัวอย่าง: ผู้รับเหมาก่อสร้างให้เงินแก่คณะกรรมการตรวจการจ้างเพื่อให้ตรวจรับงานที่ไม่ได้มาตรฐาน
3. กลุ่มคดีเกี่ยวกับการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (Public Procurement Corruption)
- ความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 (กฎหมายฮั้วประมูล):
ตัวอย่าง: เจ้าหน้าที่รัฐร่วมมือกับเอกชน ล็อกสเปกงานจัดซื้อจัดจ้าง, กลุ่มบริษัทเอกชนตกลงกันล่วงหน้า (ฮั้วประมูล) เพื่อให้มีผู้ชนะการประมูลเพียงรายเดียวโดยได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่
4. กลุ่มคดีที่เกี่ยวข้องกับองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
- การยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริง: คดีที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ระดับสูงจงใจไม่แสดงรายการทรัพย์สินของตนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
- คดีร่ำรวยผิดปกติ: กรณีที่ ป.ป.ช. ชี้มูลว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติโดยไม่สามารถชี้แจงที่มาได้ และอัยการสูงสุดยื่นฟ้องขอให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของแผ่นดิน
5. กลุ่มคดีฟอกเงินที่เกี่ยวเนื่องกับคดีทุจริต (Money Laundering)
- คดีที่เจ้าหน้าที่รัฐหรือผู้เกี่ยวข้องนำเงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาจากการทุจริตไปเปลี่ยนสภาพ (ฟอกเงิน) เพื่อปกปิดแหล่งที่มา
ตัวอย่าง: นำเงินสินบนไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ในชื่อของบุคคลอื่น, โอนเงินที่ยักยอกมาไปต่างประเทศ
6. กลุ่มคดีที่เอกชนเป็นตัวการหลัก แต่มีเจ้าหน้าที่รัฐร่วมสนับสนุน
- คดีที่เอกชนเป็นผู้กระทำความผิดหลัก แต่การกระทำความผิดนั้นจะสำเร็จไปไม่ได้หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งทำให้คดีนั้นอยู่ในอำนาจของศาลอาญาคดีทุจริตฯ
ตัวอย่าง: คดีบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ โดยมีเจ้าหน้าที่ป่าไม้เป็นผู้ให้ความช่วยเหลือในการออกเอกสารหรือละเว้นการจับกุม
มุมมองประชาชน: ขั้นตอนการฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ
ใครมีอำนาจฟ้องคดี?
การเตรียมตัวและรวบรวมพยานหลักฐานก่อนฟ้อง
หัวใจสำคัญที่สุดของการฟ้องคดีทุจริตคือ พยานหลักฐาน การเตรียมการที่ดีตั้งแต่ก่อนยื่นฟ้องจะเพิ่มโอกาสที่ศาลจะรับคดีไว้พิจารณา คำฟ้องที่ดีต้องสามารถ “ชี้ช่องพยานหลักฐานให้ชัดเจนเพียงพอ” ที่จะทำให้ศาลเห็นภาพการกระทำความผิดได้ พยานหลักฐานที่สำคัญ ได้แก่:
- พยานเอกสาร: สัญญาจัดซื้อจัดจ้าง, คำสั่งแต่งตั้ง/โยกย้าย, รายงานการประชุม, บันทึกข้อความ, หลักฐานทางการเงิน, อีเมลโต้ตอบทางราชการ
- พยานบุคคล: ผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์โดยตรง หรือผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการที่เกิดการทุจริต
- พยานวัตถุและพยานดิจิทัล: ภาพถ่าย, คลิปวิดีโอ, ไฟล์บันทึกเสียง, ข้อมูลการใช้คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์
ขั้นตอนการยื่นฟ้องโดยทนายความผู้เชี่ยวชาญ
กระบวนการฟ้องคดีโดยผู้เสียหายสามารถแบ่งเป็นขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้:
- การร่างคำฟ้อง: ทนายความจะเรียบเรียงข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ที่กล่าวหาว่าจำเลย (เจ้าหน้าที่รัฐ) กระทำความผิด พร้อมระบุพยานหลักฐานทั้งหมดให้สอดคล้องกับองค์ประกอบความผิดตามกฎหมาย
- การยื่นฟ้องต่อศาล: ทนายความจะยื่นคำฟ้องพร้อมเอกสารประกอบและสำเนาครบถ้วนต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ ที่มีเขตอำนาจ
- ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง: ขั้นตอนนี้คือความพิเศษที่สุดของศาลทุจริตฯ ซึ่งแตกต่างจากคดีอาญาทั่วไปอย่างสิ้นเชิง เพราะศาลจะใช้ “ระบบไต่สวน (Inquisitorial System)”
ความเข้าใจเรื่อง "ระบบไต่สวน": กุญแจสำคัญของคดีทุจริตฯ
ในคดีอาญาทั่วไป ศาลจะใช้ “ระบบกล่าวหา (Adversarial System)” ซึ่งศาลจะทำหน้าที่เปรียบเสมือนกรรมการที่เป็นกลาง คอยรับฟังพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำเสนอ แล้วตัดสินว่าฝ่ายใดมีน้ำหนักดีกว่ากัน
แต่ในศาลอาญาคดีทุจริตฯ กฎหมายกำหนดให้ใช้ “ระบบไต่สวน” ซึ่งหมายความว่า ศาลจะมีบทบาทเชิงรุกในการแสวงหาความจริง ศาลไม่ได้เป็นเพียงผู้รับฟัง แต่จะลงมาตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานด้วยตนเอง โดยมี “เจ้าพนักงานคดี” เป็นผู้ช่วยศาลในการดำเนินการ
ความแตกต่างในทางปฏิบัติมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเตรียมคดี ดังตารางเปรียบเทียบนี้
ลักษณะ | ระบบไต่สวน (คดีทุจริตฯ) | ระบบกล่าวหา (คดีอาญาทั่วไป) |
|---|---|---|
บทบาทของศาล | เป็นผู้มีบทบาทเชิงรุกในการค้นหาความจริง | เป็นผู้รับฟังที่เป็นกลาง (กรรมการ) |
การนำเสนอหลักฐาน | โจทก์นำเสนอหลักฐานเพื่อให้ศาลใช้เป็นแนวทางในการไต่สวนต่อ | โจทก์และจำเลยต่อสู้กันด้วยพยานหลักฐานเพื่อโน้มน้าวศาล |
หน้าที่ของทนายความ | ช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกให้ศาลในการค้นหาความจริง | ต่อสู้เพื่อประโยชน์สูงสุดของลูกความในเชิง adversarial |
เป้าหมายหลัก | การค้นหาความจริงที่เกิดขึ้น (Substantive Truth) | การชี้ขาดว่าฝ่ายใดนำสืบได้ดีกว่าตามหลักกฎหมาย |
ดังนั้น ในการฟ้องคดีทุจริตฯ เป้าหมายของทนายความฝ่ายผู้เสียหายจึงไม่ใช่แค่การเอาชนะฝ่ายตรงข้าม แต่คือการจัดทำคำฟ้องและเรียบเรียงพยานหลักฐานให้ชัดเจนและมีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้ศาล “เชื่อ” และ “เข้ามามีส่วนร่วม” ในการไต่สวนเพื่อค้นหาความจริงต่อไป
มุมมองเจ้าหน้าที่รัฐ แนวทางการเตรียมตัวต่อสู้คดีทุจริตและประพฤติมิชอบ
สำหรับเจ้าหน้าที่รัฐ การถูกชี้มูลความผิดโดย ป.ป.ช. หรือการถูกฟ้องคดีทุจริตฯ ถือเป็นวิกฤตการณ์ครั้งสำคัญในชีวิตราชการและชีวิตส่วนตัว แต่การตั้งรับอย่างมีสติและถูกหลักการ คือหนทางที่ดีที่สุดในการปกป้องสิทธิของตนเอง
เมื่อถูก ป.ป.ช. ชี้มูล หรือถูกฟ้องคดี: สิ่งแรกที่ต้องทำ
การรับมืออย่างถูกต้องตั้งแต่ก้าวแรกมีความสำคัญอย่างยิ่ง ควรปฏิบัติดังนี้:
- ตั้งสติ: อย่าตื่นตระหนก หรือกระทำการใด ๆ ที่อาจเป็นการทำลายพยานหลักฐานโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
- รวบรวมเอกสาร: เก็บรักษาเอกสารราชการ บันทึกข้อความ อีเมล หรือหลักฐานทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ถูกกล่าวหาในฝั่งของตนเองให้ครบถ้วน
- บันทึกข้อเท็จจริง: เขียนลำดับเหตุการณ์ (Timeline) ทั้งหมดจากมุมมองของตนเองโดยละเอียดเร็วที่สุดยังจำรายละเอียดได้ดี
- ปรึกษาทนายความทันที: การขอคำปรึกษาจากทนายความที่เชี่ยวชาญคดีทุจริตฯ โดยเร็วที่สุด จะช่วยให้วางแผนการต่อสู้คดีได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที
สิทธิของผู้ถูกกล่าวหาในคดีทุจริตฯ
ตามกฎหมาย ผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิพื้นฐานที่จะได้รับการคุ้มครองตลอดกระบวนการ ตั้งแต่ชั้นไต่สวนของ ป.ป.ช. จนถึงชั้นศาล สิทธิที่สำคัญประกอบด้วย :
- สิทธิที่จะได้รับทราบข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการ: ต้องมีการแจ้งข้อกล่าวหาเป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมสรุปข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหานั้น
- สิทธิที่จะชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา: ผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิยื่นคำชี้แจงเป็นหนังสือและนำสืบพยานหลักฐานเพื่อหักล้างข้อกล่าวหาได้
- สิทธิที่จะมีทนายความ: มีสิทธินำทนายความหรือที่ปรึกษาเข้าฟังการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาได้
- สิทธิในการเข้าถึงพยานหลักฐาน: ผู้ถูกกล่าวหาสามารถยื่นคำร้องเพื่อขอตรวจดูพยานหลักฐานในสำนวนของ ป.ป.ช. เพื่อใช้ในการเตรียมคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาได้
กลยุทธ์การต่อสู้คดีในระบบไต่สวน
การต่อสู้คดีในระบบไต่สวนมีแนวทางที่แตกต่างจากการสู้คดีอาญาทั่วไป กลยุทธ์ไม่ใช่การมุ่งสร้าง “ข้อสงสัยตามสมควร (Reasonable Doubt)” เพียงอย่างเดียว แต่คือการ “ให้ความร่วมมือกับศาลในการค้นหาความจริง” โดยนำเสนอข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานในฝั่งของจำเลยอย่างเป็นระบบและมีเหตุผล เพื่อแสดงให้ศาลเห็นว่าการกระทำของจำเลยนั้นมีเหตุผลรองรับ ถูกต้องตามระเบียบ และไม่ได้มีเจตนาทุจริต
บทบาทของทนายความในคดีลักษณะนี้จึงไม่ใช่แค่การ “หักล้าง” หลักฐานโจทก์ แต่เป็นการ “สร้าง”เรื่องราวและหลักฐานสนับสนุนฝั่งจำเลยที่หนักแน่นพอให้ศาลพิจารณาเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของความจริง
ข้อควรระวังพิเศษ อายุความในคดีทุจริต กรณีหลบหนี
ประเด็นสำคัญที่เจ้าหน้าที่รัฐผู้ถูกกล่าวหาต้องทราบ คือ พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตฯ มาตรา 13 ได้กำหนดหลักการพิเศษเกี่ยวกับอายุความไว้ว่า หากผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยหลบหนีไประหว่างการดำเนินคดี “มิให้นับระยะเวลาที่หลบหนีรวมเป็นส่วนหนึ่งของอายุความ”
ซึ่งหมายความว่า อายุความจะ “หยุดลง” ทันทีที่ผู้ต้องหาหลบหนี และจะเริ่มนับต่อเมื่อได้ตัวกลับมาดำเนินคดีใหม่ ดังนั้น การหลบหนีจึงไม่ใช่ทางออก เพราะคดีจะไม่มีวันหมดอายุความตราบใดที่ยังไม่กลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
สรุป
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเป็นองค์กรตุลาการที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐและสร้างความโปร่งใสในสังคมไทย การทำความเข้าใจในกระบวนการพิจารณาคดีที่เป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะ “ระบบไต่สวน” ถือเป็นกุญแจสำคัญสำหรับทั้งฝ่ายผู้เสียหายที่ต้องการเรียกร้องความเป็นธรรม และฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐที่ต้องเตรียมการต่อสู้คดี
คดีทุจริตและประพฤติมิชอบมีความซับซ้อนและมีผลกระทบสูง หากท่านต้องการใช้สิทธิในฐานะผู้เสียหาย หรือต้องการคำปรึกษาเพื่อเตรียมการต่อสู้คดีในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐ การปรึกษาทนายความผู้มีความเข้าใจในกระบวนการเฉพาะทางของศาลอาญาคดีทุจริตฯ ตั้งแต่เนิ่น ๆ คือก้าวแรกที่สำคัญ ท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการด้านคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบของเราได้
ฝากข้อความ
โปรดกรอกแบบฟอร์มแล้วเราจะติดต่อคุณโดยเร็วที่สุด