jirawatlawoffice

พื้นที่ปฏิบัติงานของเรา

คดีแพ่งทั่วไป

คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับทำความเข้าใจสิทธิและกระบวนการทางกฎหมาย

1. คดีแพ่ง ความหมายและกระบวนการทางกฎหมาย

คดีแพ่ง คือกระบวนการทางศาลที่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทระหว่างเอกชนสองฝ่ายขึ้นไป (บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล) เกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ หรือความรับผิดตามกฎหมายแพ่ง เป้าหมายหลักของคดีแพ่งไม่ใช่การลงโทษจำคุกเหมือนคดีอาญา แต่เป็นการเยียวยาความเสียหาย บังคับให้ปฏิบัติตามสัญญา หรือคุ้มครองสิทธิของฝ่ายที่ถูกโต้แย้ง การทำความเข้าใจภาพรวมของคดีแพ่ง ตั้งแต่ประเด็นข้อพิพาท ขั้นตอนในศาล ไปจนถึงการรวบรวมพยานหลักฐาน เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจและบุคคลทั่วไปในการปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง

กระบวนการดำเนินคดีแพ่งในประเทศไทยมีขั้นตอนที่ชัดเจน เริ่มตั้งแต่การประเมินข้อพิพาทก่อนฟ้อง การยื่นคำฟ้องต่อศาล การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท การสืบพยานในชั้นพิจารณา การมีคำพิพากษา และสิ้นสุดที่การบังคับคดี ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ทำให้คำพิพากษาเกิดผลในทางปฏิบัติ

2. คดีแพ่งคืออะไรและครอบครอบคลุมข้อพิพาทประเภทใดบ้าง?

คดีแพ่งครอบคลุมข้อพิพาททางกฎหมายหลากหลายประเภทที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันและการประกอบธุรกิจ โดยมีมูลเหตุมาจากนิติสัมพันธ์ระหว่างเอกชน ประเภทคดีแพ่งที่พบบ่อยในศาลไทยมีดังนี้

คดีผิดสัญญา ละเมิด ทางเลือกและแนวทาง

การผิดสัญญา (Breach of Contract)

ข้อพิพาทประเภทนี้เกิดขึ้นเมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงที่ระบุไว้ในสัญญา ไม่ว่าจะเป็นการไม่ชำระเงิน ไม่ส่งมอบสินค้า/บริการ หรือปฏิบัติผิดเงื่อนไขอื่น ๆ การเยียวยาที่ฝ่ายผู้เสียหายสามารถเรียกร้องได้ ได้แก่

  • ค่าเสียหาย (Damages): เรียกร้องเป็นตัวเงินเพื่อชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง
  • การบังคับให้ปฏิบัติการชำระหนี้โดยเฉพาะเจาะจง (Specific Performance): บังคับให้คู่สัญญาอีกฝ่ายปฏิบัติตามที่ตกลงไว้ในสัญญา
  • การบอกเลิกสัญญา (Rescission): ยกเลิกสัญญาและทำให้คู่สัญญากลับสู่สถานะเดิม

โดยทั่วไป สิทธิเรียกร้องที่เกิดจากการผิดสัญญาซึ่งกฎหมายมิได้กำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จะมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 

 

การกระทำละเมิด (Torts / Wrongful Acts)

การกระทำละเมิดคือการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อของบุคคลหนึ่ง เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดของบุคคลอื่น การเยียวยาหลักคือการเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้น สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดมีอายุความ 1 ปี นับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้กระทำ แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกิน 10 ปีนับแต่วันที่ทำละเมิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 

การฟ้องเรียกหนี้–ตั๋วเงิน–เช็ค

ข้อพิพาทกลุ่มนี้เกี่ยวข้องกับการบังคับชำระหนี้ตามเอกสารทางการเงิน เช่น สัญญากู้ยืม ตั๋วสัญญาใช้เงิน ตั๋วแลกเงิน หรือเช็คที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ซึ่งมีกฎหมายเฉพาะกำกับดูแลและมีอายุความที่แตกต่างกันไป เช่น อายุความฟ้องผู้สั่งจ่ายเช็คมีกำหนด 1 ปี

ข้อพิพาทเกี่ยวกับหนี้สิน (Debt-Related Disputes)

ครอบคลุมการเรียกให้ชำระหนี้ตามมูลหนี้ต่าง ๆ เช่น หนี้บัตรเครดิต หนี้จากการค้ำประกัน หรือหนี้ที่เกิดจากนิติเหตุอื่น ๆ ซึ่งอายุความจะขึ้นอยู่กับประเภทของหนี้นั้น ๆ เช่น สิทธิเรียกร้องของผู้ประกอบการในการเรียกค่าสินค้าที่ส่งมอบมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (1) 

ข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ (Property Disputes)

คดีแพ่งจะรวมถึงข้อพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์ การครอบครองปรปักษ์ การแบ่งทรัพย์สิน การฟ้องขับไล่ผู้ที่อยู่อาศัยโดยไม่มีสิทธิ หรือข้อพิพาทเรื่องภาระจำยอมและแนวเขตที่ดิน ซึ่งทางสำนักงานฯ ได้แยกประเภทคดีอสังหาริมทรัพย์ไว้ต่างหาก ดูรายละเอียด (คลิกลิงค์ คดีเกี่ยวกับอังหาริมทรัพย์)

ข้อพิพาททางแพ่งประเภทอื่น ๆ

นอกจากนี้ คดีแพ่งยังครอบคลุมข้อพิพาททางธุรกิจและการค้าอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น:

  • คดีเกี่ยวกับสัญญาก่อสร้างและสัญญาจ้างทำของ
  • ข้อพิพาทจากสัญญาซื้อขาย สัญญาตัวแทนจำหน่าย และสัญญาแฟรนไชส์
  • คดีสัญญาเช่าทรัพย์และการฟ้องขับไล่
  • คดีเช่าซื้อ
  • คดีขายฝาก
  • คดีจำนอง-จำนำ
  • ข้อพิพาทระหว่างผู้ถือหุ้น ข้อพิพาทเกี่ยวกับกรรมการและความรับผิดของกรรมการ
  • คดีเกี่ยวกับสัญญาบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT)
  • การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในทางแพ่ง
  • คดีคุ้มครองผู้บริโภค (ถือเป็นสวนหนึ่งของคดีแพ่ง)
  • การเรียกร้องสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัย

 

ขอบเขตบริการที่เราดำเนินการ

สำนักงานกฎหมาย JIRAWAT & ASSOCIATES ให้บริการด้านคดีแพ่งอย่างครอบคลุม โดยมุ่งเน้นการให้ข้อมูลและทางเลือกทางกฎหมายที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของท่าน บริการของเราประกอบด้วย:

  • การประเมินข้อพิพาทเบื้องต้น การจัดทำหนังสือทวงถาม และการวางกลยุทธ์ในการเจรจาไกล่เกลี่ย
  • การร่างและยื่นคำฟ้อง คำให้การ และคำคู่ความอื่น ๆ รวมถึงการเป็นตัวแทนในศาลทุกขั้นตอนตามที่กฎหมายอนุญาต
  • การยื่นคำร้องขอใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา เช่น การขอคุ้มครองชั่วคราว การยึดหรืออายัดทรัพย์สินของจำเลยไว้ก่อนมีคำพิพากษา (ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 253, 254) 
  • การวางกลยุทธ์ด้านพยานหลักฐาน การจัดทำคำแถลงการณ์ และการประสานงานกับพยานผู้เชี่ยวชาญ
  • การทำสัญญาประนีประนอมยอมความ คำพิพากษาตามยอม และการระงับข้อพิพาททางเลือก (ADR) ทั้งในชั้นศาลและนอกศาล
  • การอุทธรณ์และฎีกาคำพิพากษาตามที่กฎหมายอนุญาต
  • การบังคับคดีแพ่งร่วมกับกรมบังคับคดี (LED) ซึ่งรวมถึงการยึดทรัพย์ อายัดสิทธิเรียกร้อง การขายทอดตลาด และการรับชำระหนี้

3. ภาพรวมกระบวนการดำเนินคดีแพ่งในศาลไทย

กระบวนการดำเนินคดีแพ่งในศาลไทยมีลำดับขั้นตอนที่ชัดเจน ซึ่งคู่ความควรทำความเข้าใจเพื่อเตรียมความพร้อมในแต่ละระยะ 

ขั้นตอนการดำเนินคดีแพ่ง

ปัจจัย

การดำเนินคดีในศาล (Litigation)

1. การยื่นคำฟ้องและขั้นตอนเริ่มต้น

โจทก์ (ผู้ฟ้อง) ยื่นคำฟ้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจ พร้อมชำระค่าขึ้นศาล (โดยทั่วไปคิดเป็น 2% ของทุนทรัพย์ แต่สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาทสำหรับศาลชั้นต้น) ศาลจะส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลย (ผู้ถูกฟ้อง)

2. การยื่นคำให้การ

จำเลยต้องยื่นคำให้การเพื่อต่อสู้คดีภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับหมายโดยชอบ (หรือ 30 วันในบางกรณี) หากจำเลยมีข้อเรียกร้องต่อโจทก์ ก็สามารถยื่นฟ้องแย้งมาพร้อมกับคำให้การได้ 

3. การไกล่เกลี่ยและนัดพิจารณาเบื้องต้น

ศาลมักจะกำหนดนัดไกล่เกลี่ยเพื่อให้คู่ความเจรจาหาข้อยุติก่อนเข้าสู่กระบวนการสืบพยาน หากไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จ ศาลจะกำหนดประเด็นข้อพิพาทและภาระการพิสูจน์ในนัดชี้สองสถาน

4. การสืบพยานและพิจารณาคดี

คู่ความแต่ละฝ่ายนำพยานหลักฐาน (พยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ) เข้าสืบเพื่อพิสูจน์ข้ออ้างของตนตามประเด็นที่ศาลกำหนด โดยฝ่ายที่มีภาระการพิสูจน์จะเป็นผู้นำสืบก่อน 

5. คำพิพากษา

หลังจากสืบพยานเสร็จสิ้น ศาลจะทำคำพิพากษาชี้ขาดตัดสินคดี โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 2-4 เดือนหลังเสร็จสิ้นการพิจารณา 

6. การอุทธรณ์/ฎีกา

คู่ความฝ่ายที่ไม่พอใจคำพิพากษาของศาลชั้นต้น สามารถยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ได้ภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่ศาลอ่านคำพิพากษา และหากไม่พอใจคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ อาจยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาต่อศาลฎีกาได้ ซึ่งศาลฎีกาจะอนุญาตเฉพาะในปัญหาที่สำคัญ 

7. การบังคับคดี

หากคดีถึงที่สุดแล้ว และลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต้องยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอออกหมายบังคับคดี และนำหมายดังกล่าวไปยื่นต่อกรมบังคับคดีเพื่อดำเนินการบังคับคดีต่อไป 

4. หลักฐานในคดีแพ่ง จัดเตรียมอย่างไร

พยานหลักฐานคือหัวใจสำคัญของการพิสูจน์ข้อเท็จจริงในคดีแพ่ง การรวบรวมและนำเสนอพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือและสอดคล้องกับประเด็นข้อพิพาทเป็นปัจจัยชี้ขาดผลของคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 การวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงต้องอาศัยพยานหลักฐานในสำนวน 

ประเภทของพยานหลักฐานที่ใช้กันโดยทั่วไป ได้แก่:

  • พยานเอกสาร: สัญญา, ใบแจ้งหนี้, ใบเสร็จรับเงิน, ใบส่งของ, ข้อความอีเมล, ข้อความสนทนา (เช่น LINE, WhatsApp), รายงานการประชุม, หนังสือรับรองบริษัท, หลักฐานการชำระเงิน
  • พยานบุคคล: คำเบิกความของบุคคลที่รู้เห็นเหตุการณ์โดยตรง หรือพยานผู้เชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้อง
  • พยานวัตถุ: สินค้าที่ชำรุด, ภาพถ่ายสถานที่เกิดเหตุ, วิดีโอบันทึกเหตุการณ์
  • พยานผู้เชี่ยวชาญ: รายงานความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ เช่น วิศวกร, ผู้ประเมินราคาทรัพย์สิน, ผู้ตรวจสอบบัญชี

ข้อแนะนำในการจัดเตรียม

  • ความถูกต้องและน่าเชื่อถือ: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเอกสารเป็นต้นฉบับหรือสำเนาที่รับรองถูกต้อง และไม่มีการแก้ไขดัดแปลง
  • การเก็บรักษา: เก็บรักษาพยานหลักฐานทั้งหมดไว้อย่างเป็นระบบและปลอดภัยเพื่อป้องกันการสูญหายหรือเสียหาย
  • ความเกี่ยวข้อง: เลือกใช้พยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับประเด็นข้อพิพาทโดยตรง เพื่อให้การนำสืบมีน้ำหนักและไม่ฟุ่มเฟือย

5. การเตรียมตัวสำหรับคดีแพ่ง สิ่งที่คุณควรรู้

การเตรียมความพร้อมที่ดีจะช่วยให้การดำเนินคดีเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ก่อนเริ่มต้นหรือเมื่อต้องเข้าสู่กระบวนการทางศาล ควรพิจารณาประเด็นต่อไปนี้:

  • รวบรวมข้อเท็จจริงและเอกสาร: จัดลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดและรวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้ครบถ้วน
  • ประเมินค่าใช้จ่าย: ทำความเข้าใจโครงสร้างค่าใช้จ่าย ซึ่งประกอบด้วยค่าขึ้นศาล ค่าทนายความ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี (เช่น ค่าเดินทางพยาน ค่าธรรมเนียมในการคัดเอกสาร) และค่าใช้จ่ายในชั้นบังคับคดี
  • กำหนดเป้าหมาย: กำหนดผลลัพธ์ที่ต้องการอย่างชัดเจน เช่น ต้องการเงินชดเชย ต้องการให้คู่กรณีปฏิบัติตามสัญญา หรือต้องการยุติข้อพิพาทโดยเร็วที่สุด
  • เตรียมพยานบุคคล: ระบุตัวบุคคลที่สามารถเป็นพยานในคดีได้ และพูดคุยเบื้องต้นเพื่อประเมินความพร้อมและความน่าเชื่อถือ

ข้อควรปฏิบัติ (Do)

ข้อควรเลี่ยง (Don't)

รวบรวมและจัดเก็บเอกสาร ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดอย่างเป็นระบบ

ลบหรือทำลาย อีเมล ข้อความ หรือเอกสารที่อาจเป็นหลักฐาน

ปรึกษาทนายความ ทันทีที่เกิดข้อพิพาทเพื่อประเมินทางเลือก

เจรจาหรือทำข้อตกลง กับฝ่ายตรงข้ามโดยไม่มีที่ปรึกษากฎหมาย

จดบันทึกลำดับเหตุการณ์ และข้อเท็จจริงที่สำคัญไว้

เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับคดี ในที่สาธารณะหรือโซเชียลมีเดีย

ปฏิบัติตามคำแนะนำของทนายความ อย่างเคร่งครัด

เพิกเฉยต่อหมายศาล หรือกำหนดเวลาทางกฎหมาย

6. บังคับคดีแพ่ง ขั้นตอนสรุป

การได้รับคำพิพากษาให้ชนะคดีเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องดำเนินการในชั้นบังคับคดีเพื่อให้ได้รับชำระหนี้ตามสิทธิจริง ๆ กระบวนการนี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกรมบังคับคดี (Legal Execution Department – LED)

ตาราง ขั้นตอนการบังคับคดีแพ่ง

ขั้นตอน

รายละเอียด

1. ขอออกหมายบังคับคดี

หลังจากคดีถึงที่สุดแล้ว หากลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ภายในเวลาที่กำหนด เจ้าหนี้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นเพื่อขอให้ออกหมายบังคับคดี โดยต้องดำเนินการภายใน 10 ปีนับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด 

2. ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี

เจ้าหนี้นำหมายบังคับคดีไปยื่นต่อกรมบังคับคดีหรือสำนักงานบังคับคดีจังหวัด เพื่อขอให้ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตามหมาย 

3. สืบทรัพย์ของลูกหนี้

เจ้าหนี้มีหน้าที่สืบหาทรัพย์สินของลูกหนี้ (เช่น ที่ดิน บัญชีเงินฝาก รถยนต์ เงินเดือน) และแจ้งต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี

4. ยึดหรืออายัดทรัพย์สิน

เจ้าหนี้ยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการ ยึด (Seizure) ทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ หรือ อายัด (Garnishment) สิทธิเรียกร้องที่ลูกหนี้มีต่อบุคคลภายนอก เช่น เงินในบัญชีธนาคาร เงินเดือน หรือค่าเช่า 

5. การขายทอดตลาด

เจ้าพนักงานบังคับคดีจะนำทรัพย์สินที่ยึดได้ออกขายทอดตลาดให้แก่ผู้ที่เสนอราคาสูงสุด 

6. การรับชำระหนี้

เงินที่ได้จากการขายทอดตลาดหรือจากการอายัด จะถูกนำมาจัดสรรเพื่อชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียม หากมีเงินเหลือจะคืนให้แก่ลูกหนี้ 

7. ข้อจำกัดการเรียกร้องคดีแพ่ง (อายุความ)

อายุความ คือระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดให้เจ้าหนี้ต้องใช้สิทธิฟ้องร้องบังคับคดี หากปล่อยให้ล่วงเลยระยะเวลาดังกล่าวไป สิทธิเรียกร้องนั้นจะขาดอายุความ และลูกหนี้สามารถยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้เพื่อปฏิเสธการชำระหนี้ได้ ดังนั้น การทราบอายุความของสิทธิเรียกร้องแต่ละประเภทจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

ตาราง สรุปอายุความในคดีแพ่งที่สำคัญ

ประเภทของสิทธิเรียกร้อง

อายุความ

มาตราที่เกี่ยวข้อง (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์)

การกระทำละเมิด

1 ปี นับแต่วันที่รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้กระทำ (แต่ไม่เกิน 10 ปีนับแต่วันทำละเมิด)

มาตรา 448

ค่าจ้าง ค่าวิชาชีพ ค่าเล่าเรียน ค่ารักษาพยาบาล

2 ปี

มาตรา 193/34

หนี้ที่ผู้ประกอบการ/พ่อค้าเรียกเอาค่าของที่ได้ส่งมอบ

2 ปี

มาตรา 193/34

ดอกเบี้ยค้างชำระ ค่าเช่าทรัพย์สินค้างชำระ

5 ปี

มาตรา 193/33

เงินที่ต้องผ่อนคืนเป็นงวด ๆ

5 ปี

มาตรา 193/33

สิทธิเรียกร้องที่มิได้มีกฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะ (เช่น ผิดสัญญาทั่วไป)

10 ปี

มาตรา 193/30

สิทธิเรียกร้องตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุด (การบังคับคดี)

10 ปี

มาตรา 193/32

8. สำรวจเส้นทางคดีแพ่งตั้งแต่ต้นจนจบ

การดำเนินคดีแพ่งต้องใช้เวลาและความอดทน การทราบกรอบเวลาโดยประมาณในแต่ละขั้นตอนจะช่วยให้คู่ความสามารถวางแผนและจัดการความคาดหวังได้อย่างเหมาะสม

ตาราง กรอบเวลาโดยประมาณสำหรับกระบวนการคดีแพ่ง

ขั้นตอน

ขั้นตอน

ระยะเวลาโดยประมาณ

หมายเหตุ

การเตรียมคดีและเจรจาก่อนฟ้อง

1–3 เดือน

ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนและการตอบสนองของอีกฝ่าย

การยื่นฟ้องจนถึงนัดพิจารณาเบื้องต้น/ชี้สองสถาน

3–6 เดือน

ขึ้นอยู่กับตารางนัดของศาล 

การสืบพยาน

6–18 เดือน

อาจนานกว่านี้ในคดีที่ซับซ้อน มีพยานจำนวนมาก หรือมีการเลื่อนคดี

การรอคำพิพากษาศาลชั้นต้น

2–4 เดือน

นับจากวันที่สืบพยานเสร็จสิ้น 

กระบวนการในชั้นอุทธรณ์/ฎีกา

12–24 เดือน (ต่อหนึ่งชั้นศาล)

เป็นระยะเวลาโดยประมาณสำหรับการพิจารณาของศาลสูง

การบังคับคดี

6–24+ เดือน

ขึ้นอยู่กับความยากง่ายในการสืบทรัพย์และความร่วมมือของบุคคลภายนอก

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

ไม่มี โดยทั่วไปแล้วคดีแพ่งไม่มีโทษจำคุก ผลของคดีคือการบังคับให้ชำระหนี้เป็นเงิน ส่งมอบทรัพย์สิน หรือกระทำการ/งดเว้นกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ใช่การลงโทษทางอาญา

ค่าใช้จ่ายหลักประกอบด้วย 1) ค่าขึ้นศาล ซึ่งโดยทั่วไปคิดเป็น 2% ของจำนวนเงินที่เรียกร้อง (ทุนทรัพย์) แต่มีเพดานสูงสุด 2) ค่าทนายความ ซึ่งขึ้นอยู่กับการตกลง และ 3) ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าธรรมเนียมในการส่งหมาย ค่าป่วยการพยาน และค่าใช้จ่ายในชั้นบังคับคดี

ขึ้นอยู่กับประเภทของนิติกรรม สำหรับบางกรณี เช่น สัญญากู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาท กฎหมายกำหนดให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือจึงจะฟ้องร้องบังคับคดีได้ สำหรับสัญญาประเภทอื่น ๆ แม้ไม่มีเอกสารก็อาจฟ้องร้องได้ แต่ภาระการพิสูจน์ว่ามีข้อตกลงกันจริงจะยากกว่ามาก

ขึ้นอยู่กับประเภทของนิติกรรม สำหรับบางกรณี เช่น สัญญากู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาท กฎหมายกำหนดให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือจึงจะฟ้องร้องบังคับคดีได้ สำหรับสัญญาประเภทอื่น ๆ แม้ไม่มีเอกสารก็อาจฟ้องร้องได้ แต่ภาระการพิสูจน์ว่ามีข้อตกลงกันจริงจะยากกว่ามาก

การไกล่เกลี่ยก่อนฟ้องเป็นกระบวนการที่ศาลจัดให้มีขึ้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 20 ตรี เพื่อให้คู่กรณีได้เจรจาระงับข้อพิพาทโดยมีผู้ไกล่เกลี่ยของศาลเป็นคนกลาง ก่อน ที่จะมีการยื่นฟ้องคดีอย่างเป็นทางการ ประโยชน์หลักคือ ไม่เสียค่าขึ้นศาล เป็นความลับ และหากตกลงกันได้ ศาลสามารถมีคำพิพากษาตามยอมให้ได้ทันที ซึ่งมีผลบังคับได้ตามกฎหมาย

ไม่เสมอไป การชนะคดีเป็นเพียงการได้รับสิทธิตามกฎหมาย หากลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ชำระหนี้โดยสมัครใจ เจ้าหนี้จะต้องเริ่มต้นกระบวนการ "บังคับคดี" โดยยื่นเรื่องต่อศาลและกรมบังคับคดีเพื่อดำเนินการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของลูกหนี้มาชำระหนี้ต่อไป ซึ่งเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่ต้องใช้เวลาและอาจมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น

อายุความมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนดให้ต้องใช้สิทธิฟ้องคดี หากยื่นฟ้องหลังจากคดีขาดอายุความแล้ว และจำเลยยกเรื่องอายุความขึ้นต่อสู้ ศาลจะต้องยกฟ้อง ทำให้ไม่สามารถบังคับตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้อีกต่อไป

ฝากข้อความ

โปรดกรอกแบบฟอร์มแล้วเราจะติดต่อคุณโดยเร็วที่สุด

    Scroll to Top