พื้นที่ปฏิบัติงานของเรา
คดีล้มละลายและการฟื้นฟูกิจการ
1. เมื่อธุรกิจเผชิญวิกฤต: ทำความเข้าใจกระบวนการล้มละลายและการฟื้นฟูกิจการในประเทศไทย
เมื่อธุรกิจต้องเผชิญกับความท้าทายทางการเงินอย่างรุนแรง การทำความเข้าใจเกี่ยวกับทางเลือกทางกฎหมายที่มีอยู่จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ในประเทศไทย กรอบกฎหมายหลักที่กำกับดูแลสภาวะการมีหนี้สินล้นพ้นตัวคือ พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม กฎหมายฉบับนี้ได้วางแนวทางที่ชัดเจนสำหรับธุรกิจที่ประสบปัญหาทางการเงิน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการกับหนี้สินอย่างเป็นระบบและเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ภาวะหนี้สินล้นพ้นตัว (Insolvency) ตามกฎหมายไทย โดยทั่วไปหมายถึงสภาวะที่ลูกหนี้มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน เมื่อธุรกิจตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว กฎหมายได้กำหนดกระบวนการหลักไว้สองแนวทางที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ได้แก่:
- การล้มละลาย (Bankruptcy): กระบวนการที่มุ่งเน้นไปที่การรวบรวมและจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อนำมาชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ ซึ่งโดยทั่วไปจะนำไปสู่การเลิกกิจการ
- การฟื้นฟูกิจการ (Business Rehabilitation/Reorganization): กระบวนการภายใต้การกำกับดูแลของศาลที่เปิดโอกาสให้ธุรกิจที่มีศักยภาพสามารถปรับโครงสร้างหนี้และโครงสร้างองค์กร เพื่อให้สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้อย่างยั่งยืน
การเลือกระหว่างสองแนวทางนี้ไม่ใช่การยอมรับความล้มเหลว แต่เป็นการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญซึ่งจะส่งผลต่ออนาคตของธุรกิจ เจ้าหนี้ พนักงาน และผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมด การประเมินสถานการณ์อย่างรอบด้านและการเลือกใช้กระบวนการที่เหมาะสมจึงเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดในการนำพาธุรกิจออกจากวิกฤต
2. คดีล้มละลาย ฟื้นฟูกิจการ: แนวปฏิบัติสำหรับลูกหนี้/เจ้าหนี้
แม้ว่าทั้งสองกระบวนการจะอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติล้มละลายฉบับเดียวกัน แต่ก็มีวัตถุประสงค์และขั้นตอนการดำเนินการที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การทำความเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทั้งฝ่ายลูกหนี้และเจ้าหนี้ในการวางแผนและปกป้องสิทธิของตน
- กระบวนการล้มละลาย โดยทั่วไปจะถูกริเริ่มโดยเจ้าหนี้ฝ่ายเดียว เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐจากกรมบังคับคดี จะเข้ามามีอำนาจในการจัดการและรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อนำไปชำระหนี้ตามลำดับสิทธิของเจ้าหนี้ กระบวนการนี้จึงเปรียบเสมือนเครื่องมือในการบังคับชำระหนี้ของเจ้าหนี้เป็นหลัก
- กระบวนการฟื้นฟูกิจการ มีความยืดหยุ่นมากกว่า โดยสามารถยื่นคำร้องได้ทั้งจากฝ่ายลูกหนี้ เจ้าหนี้ หรือหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจกำกับดูแล เป้าหมายหลักคือการรักษาคุณค่าของกิจการในฐานะหน่วยธุรกิจที่ยังดำเนินต่อไป (Going Concern) ผ่านการจัดทำ “แผนฟื้นฟูกิจการ” ที่ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมเจ้าหนี้และศาล เพื่อให้ธุรกิจสามารถกลับมาแข็งแกร่งและชำระหนี้ได้ในระยะยาว
3. การฟื้นฟูกิจการ: หนทางสู่การปรับโครงสร้างเพื่อความอยู่รอด
การฟื้นฟูกิจการเป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่สำคัญซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือธุรกิจที่ประสบปัญหาสภาพคล่องหรือมีหนี้สินล้นพ้นตัวแต่ยังมีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจต่อไปได้ วัตถุประสงค์หลักของกระบวนการนี้ไม่ใช่การเลิกกิจการ แต่เป็นการ “รักษา” กิจการให้สามารถกลับมาดำเนินงานได้อย่างมีกำไรและสร้างมูลค่าเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย
ข้อดีที่สำคัญของการเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการคือการที่ลูกหนี้จะได้รับความคุ้มครองจาก “สภาวะพักการชำระหนี้” (Automatic Stay) ทันทีที่ศาลรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการไว้พิจารณา ซึ่งหมายความว่าเจ้าหนี้จะไม่สามารถฟ้องร้องคดีแพ่งหรือคดีล้มละลาย ยึด อายัด หรือบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินของลูกหนี้ได้เป็นการชั่วคราว ทำให้ธุรกิจมีช่วงเวลาสำคัญในการหยุดหายใจเพื่อประเมินสถานการณ์ จัดการสภาพคล่อง และจัดทำแผนปรับโครงสร้างหนี้อย่างรอบคอบ
หัวใจของความสำเร็จในการฟื้นฟูกิจการคือการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่เจ้าหนี้ว่าการให้โอกาสธุรกิจได้ปรับโครงสร้างนั้นจะส่งผลให้เจ้าหนี้ได้รับการชำระหนี้คืนในจำนวนที่ ไม่น้อยกว่า ที่จะได้รับหากธุรกิจต้องถูกพิทักษ์ทรัพย์และนำไปสู่การล้มละลาย หลักการนี้เป็นเงื่อนไขสำคัญที่ศาลจะใช้พิจารณาในการให้ความเห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการ
4. ฟื้นฟูกิจการตามกฎหมายไทย ขั้นตอนสำคัญ และวัตถุประสงค์และเงื่อนไขในการยื่นคำร้อง
การยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลางจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ศาลรับคำร้องไว้พิจารณา
เงื่อนไขในการยื่นคำร้อง:
- ประเภทของลูกหนี้: ต้องเป็นบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด
- จำนวนหนี้ขั้นต่ำ: มีหนี้สินจากเจ้าหนี้คนเดียวหรือหลายคนรวมกันเป็นจำนวนที่แน่นอนไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท
- สถานะของลูกหนี้: อยู่ในภาวะมีหนี้สินล้นพ้นตัว หรือไม่สามารถชำระหนี้ตามกำหนดได้ (Unable to pay debts as they fall due)
- ผู้มีสิทธิยื่นคำร้อง: สามารถยื่นได้โดยลูกหนี้เอง, เจ้าหนี้ (คนเดียวหรือกลุ่ม), หรือหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจกำกับดูแลธุรกิจของลูกหนี้
- เขตอำนาจศาล: ต้องยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลาง
ขั้นตอนสำคัญในกระบวนการฟื้นฟูกิจการ
ลำดับ | ขั้นตอน | ผู้ดำเนินการหลัก | กรอบเวลาโดยประมาณ |
|---|---|---|---|
1 | การยื่นคำร้อง | ลูกหนี้ / เจ้าหนี้ | วันที่ 1 |
2 | ศาลรับคำร้องและไต่สวน | ศาลล้มละลายกลาง | 2-3 เดือน |
3 | ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการและตั้งผู้ทำแผน | ศาลล้มละลายกลาง | หลังการไต่สวน |
4 | เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ | เจ้าหนี้ | ภายใน 1 เดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งตั้งผู้ทำแผน |
5 | การจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการ | ผู้ทำแผน | ภายใน 3 เดือน (ขยายได้ 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 1 เดือน) |
6 | การประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาแผน | เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์, เจ้าหนี้ | 5-7 เดือน |
7 | ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนและตั้งผู้บริหารแผน | ศาลล้มละลายกลาง | หลังที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติ |
8 | การดำเนินการตามแผน | ผู้บริหารแผน | ไม่เกิน 5 ปี (ขยายได้ 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 1 ปี) |
กรอบเวลาดังกล่าวเป็นเพียงการประมาณการและอาจเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของแต่ละคดี
5. แผนฟื้นฟูกิจการ: โครงสร้างและประเด็นที่พบบ่อย
แผนฟื้นฟูกิจการคือเอกสารสำคัญที่สุดที่เป็นหัวใจของกระบวนการทั้งหมด เปรียบเสมือนพิมพ์เขียวที่จะกำหนดทิศทางอนาคตของธุรกิจ แผนที่ดีจะต้องมีความชัดเจน สมเหตุสมผลในเชิงพาณิชย์ และเป็นธรรมต่อเจ้าหนี้ทุกกลุ่ม
องค์ประกอบสำคัญของแผนฟื้นฟูกิจการ
ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย แผนฟื้นฟูกิจการต้องมีรายการอย่างน้อยดังต่อไปนี้ :
- เหตุผลที่นำไปสู่การฟื้นฟูกิจการ
- รายละเอียดสินทรัพย์ หนี้สิน และภาระผูกพันต่างๆ ของลูกหนี้
- หลักการและวิธีการฟื้นฟูกิจการ เช่น การปรับโครงสร้างทุน (ลดทุน/เพิ่มทุน), การปรับโครงสร้างหนี้ (ยืดระยะเวลา, ลดจำนวนหนี้), การระดมทุนใหม่, และการจัดการทรัพย์สิน
- ชื่อ คุณสมบัติ และค่าตอบแทนของผู้บริหารแผน
- ระยะเวลาดำเนินการตามแผน
การลงมติยอมรับแผนและข้อควรระวัง
แผนฟื้นฟูกิจการจะต้องได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมเจ้าหนี้โดย มติพิเศษ ซึ่งโดยทั่วไปหมายถึงมติของเจ้าหนี้ฝ่ายข้างมากในแต่ละกลุ่มซึ่งมีจำนวนหนี้รวมกันไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนหนี้ทั้งหมดของเจ้าหนี้ในกลุ่มนั้นที่ออกเสียงลงคะแนน
หลังจากนั้น ศาลล้มละลายกลางจะพิจารณาให้ความเห็นชอบด้วยแผน โดยมีเงื่อนไขสำคัญตามมาตรา 90/58(3) คือ ข้อเสนอการชำระหนี้ตามแผนต้องไม่ทำให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ด้อยไปกว่ากรณีที่ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย ซึ่งเป็นประเด็นที่ศาลฎีกาได้วางบรรทัดฐานไว้ในหลายคดี (เช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1371/2550 )
ประเด็นที่พบบ่อยที่อาจทำให้แผนไม่ได้รับความเห็นชอบ:
- ขาดความสมเหตุสมผลในทางปฏิบัติ: แผนตั้งอยู่บนสมมติฐานทางการเงินที่ไม่สามารถเป็นจริงได้
- ขาดการสนับสนุนจากเจ้าหนี้: แผนไม่ตอบสนองต่อข้อกังวลของเจ้าหนี้กลุ่มสำคัญ ทำให้ไม่ได้รับคะแนนเสียงเพียงพอ
- ข้อมูลไม่เพียงพอ: แผนขาดรายละเอียดที่จำเป็น ทำให้ศาลไม่สามารถประเมินได้ว่าแผนมีความเป็นไปได้และเป็นธรรมหรือไม่ (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 755/2555 )
- การปฏิบัติต่อเจ้าหนี้อย่างไม่เท่าเทียม: แผนกำหนดให้เจ้าหนี้ในกลุ่มเดียวกันได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกันอย่างไม่มีเหตุผลอันสมควร
6. ผลของสภาวะพักการชำระหนี้ (Automatic Stay)
สภาวะพักการชำระหนี้ หรือ Automatic Stay ตามมาตรา 90/12 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย เป็นกลไกคุ้มครองลูกหนี้ที่ทรงพลังและมีความสำคัญอย่างยิ่งในกระบวนการฟื้นฟูกิจการ โดยจะเริ่มมีผลบังคับทันทีที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการไว้พิจารณา และมีผลไปจนกว่าระยะเวลาดำเนินการตามแผนจะสิ้นสุดลง หรือศาลมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
วัตถุประสงค์หลัก:
- ให้เวลาลูกหนี้: เพื่อให้ลูกหนี้มี “พื้นที่หายใจ” (Breathing Room) ในการประเมินสถานะทางการเงิน หยุดยั้งการลดลงของมูลค่าทรัพย์สิน และมีสมาธิในการจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการโดยปราศจากการกดดันจากการถูกฟ้องร้องหรือบังคับคดี
- รักษามูลค่าของกิจการ: เพื่อป้องกันไม่ให้ทรัพย์สินของลูกหนี้ถูกกระจายออกไปจากการบังคับคดีของเจ้าหนี้ทีละราย ซึ่งจะทำให้มูลค่าโดยรวมของกิจการลดลงและส่งผลเสียต่อเจ้าหนี้ทุกราย
ขอบเขตของ Automatic Stay:
- การกระทำที่ถูกระงับ: ห้ามเจ้าหนี้ยื่นฟ้องลูกหนี้เป็นคดีแพ่งหรือคดีล้มละลาย, ห้ามการบังคับคดีแพ่ง, ห้ามเจ้าหนี้มีประกันบังคับหลักประกัน, ห้ามเจ้าของทรัพย์สินตามสัญญาเช่าซื้อหรือสัญญาเช่าติดตามเอาทรัพย์สินคืน, และห้ามผู้ให้บริการสาธารณูปโภคระงับการให้บริการ
- ข้อยกเว้น: ลูกหนี้ยังคงสามารถดำเนินธุรกิจตามปกติได้ เช่น การชำระหนี้ค่าสินค้าหรือบริการที่เกิดขึ้นหลังวันที่ศาลรับคำร้องตามเงื่อนไขการค้าปกติ อย่างไรก็ตาม ลูกหนี้ถูกห้ามมิให้จำหน่าย จ่าย โอน ให้เช่า ชำระหนี้ หรือก่อหนี้ หรือกระทำการใดๆ ที่ก่อให้เกิดภาระในทรัพย์สิน เว้นแต่เป็นการกระทำที่จำเป็นเพื่อให้การดำเนินธุรกิจตามปกติของลูกหนี้สามารถดำเนินต่อไปได้ หรือได้รับอนุญาตจากศาล
ข้อควรปฏิบัติสำหรับธุรกิจภายใต้สภาวะพักการชำระหนี้:
- ควรทำ: ดำเนินธุรกิจประจำวันต่อไป, รักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้าที่สำคัญ, จัดทำบันทึกทางการเงินอย่างละเอียด, และสื่อสารกับที่ปรึกษากฎหมายและผู้ทำแผนอย่างสม่ำเสมอ
- ไม่ควรทำ: จำหน่ายหรือโอนทรัพย์สินที่สำคัญโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล, ชำระหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนวันยื่นคำร้อง, หรือเข้าทำสัญญาทางการเงินขนาดใหญ่โดยไม่ได้รับอนุญาต
7. บุคคลสำคัญในกระบวนการ: บทบาทผู้ทำแผน/ผู้บริหารแผน และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
ความสำเร็จของกระบวนการฟื้นฟูกิจการขึ้นอยู่กับการทำงานร่วมกันของบุคคลหลายฝ่าย ซึ่งแต่ละฝ่ายมีบทบาทและหน้าที่ความรับผิดชอบที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
- เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ (Official Receiver): เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ สังกัดกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ในคดีฟื้นฟูกิจการ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะทำหน้าที่เป็นผู้กำกับดูแลกระบวนการให้เป็นไปตามกฎหมาย เช่น การเรียกประชุมเจ้าหนี้, การรับและพิจารณาคำขอรับชำระหนี้, และการรายงานความเห็นต่อศาล ส่วนในคดีล้มละลาย จะมีบทบาทหลักในการเข้าจัดการและรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อนำมาจำหน่ายทอดตลาด
- ผู้ทำแผน (Plan Preparer): เป็นบุคคลหรือนิติบุคคลที่ศาลแต่งตั้งขึ้นหลังจากมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ มีอำนาจหน้าที่เข้ามาบริหารจัดการกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ชั่วคราว พร้อมทั้งจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการเพื่อเสนอต่อที่ประชุมเจ้าหนี้
- ผู้บริหารแผน (Plan Administrator): เป็นบุคคลหรือนิติบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งตามแผนฟื้นฟูกิจการที่ได้รับความเห็นชอบแล้ว มีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินการต่างๆ ให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในแผน เช่น การชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้, การปรับโครงสร้างองค์กร, หรือการจำหน่ายทรัพย์สินที่ไม่จำเป็น
ในกระบวนการเหล่านี้ สำนักงานกฎหมายจะทำหน้าที่เป็น ที่ปรึกษากฎหมาย ของลูกหนี้หรือเจ้าหนี้ เพื่อให้คำแนะนำทางกฎหมาย, ปกป้องสิทธิประโยชน์ของลูกความ, และเป็นตัวแทนในการประสานงานและเจรจากับบุคคลสำคัญทั้งหมดข้างต้น เพื่อให้กระบวนการดำเนินไปอย่างราบรื่นและบรรลุผลตามเป้าหมาย
8. กระบวนการล้มละลาย: การชำระบัญชีและจัดการทรัพย์สิน
ในกรณีที่ธุรกิจไม่สามารถฟื้นฟูกิจการได้ หรือเจ้าหนี้เลือกที่จะใช้สิทธิดำเนินคดีล้มละลาย กระบวนการจะมุ่งไปสู่การชำระบัญชีเพื่อเลิกกิจการ ซึ่งมีเงื่อนไขและขั้นตอนดังนี้
เกณฑ์หนี้สินขั้นต่ำสำหรับการฟ้องล้มละลาย:
- บุคคลธรรมดา: เจ้าหนี้สามารถฟ้องให้ล้มละลายได้ หากลูกหนี้มีหนี้สินไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท
- นิติบุคคล: เจ้าหนี้สามารถฟ้องให้ล้มละลายได้ หากลูกหนี้มีหนี้สินไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาท
ลักษณะสำคัญของกระบวนการล้มละลาย:
- เป็นการดำเนินการโดยเจ้าหนี้ (Involuntary Process): ตามกฎหมายไทยปัจจุบัน ลูกหนี้ไม่สามารถยื่นขอให้ตนเองล้มละลายได้ กระบวนการต้องเริ่มต้นจากการที่เจ้าหนี้ยื่นฟ้องต่อศาลเท่านั้น
- คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด (Absolute Receivership Order): เมื่อศาลไต่สวนแล้วเชื่อได้ว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัวจริง ศาลจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด ซึ่งส่งผลให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจในการจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้
- การรวบรวมและจำหน่ายทรัพย์สิน: เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะดำเนินการรวบรวมทรัพย์สินทั้งหมดของลูกหนี้ และนำออกขายทอดตลาดเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินสด
- การชำระหนี้ตามลำดับสิทธิ: เงินที่ได้จากการขายทอดตลาดจะถูกนำไปชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามลำดับสิทธิที่กฎหมายกำหนด โดยหนี้มีประกัน, ค่าใช้จ่ายในการจัดการทรัพย์สิน, และหนี้ภาษีอากรหรือค่าจ้างแรงงานบางส่วน จะมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้สามัญที่ไม่มีประกัน
9. เจ้าหนี้ควรรู้อะไรเกี่ยวกับการพิทักษ์ทรัพย์
สำหรับเจ้าหนี้ การที่ลูกหนี้เข้าสู่กระบวนการล้มละลายหรือฟื้นฟูกิจการถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วและถูกต้องเพื่อรักษาสิทธิในการได้รับชำระหนี้ของตน
รายการตรวจสอบสำหรับเจ้าหนี้:
- ดำเนินการทันที: เมื่อได้รับแจ้งหรือทราบประกาศคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์หรือคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ ควรปรึกษาที่ปรึกษากฎหมายโดยเร็วที่สุด
- ยื่นคำขอรับชำระหนี้ (Crucial Step): นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุด หากไม่ยื่นภายในกำหนดอาจทำให้หมดสิทธิได้รับชำระหนี้
- ในคดีล้มละลาย: ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายใน 2 เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในราชกิจจานุเบกษา
- ในคดีฟื้นฟูกิจการ: ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายใน 1 เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งตั้งผู้ทำแผนในราชกิจจานุเบกษา
- เข้าร่วมประชุมเจ้าหนี้: การเข้าร่วมประชุมเป็นโอกาสสำคัญในการรับทราบข้อมูล, ซักถาม, และใช้สิทธิออกเสียงในเรื่องสำคัญ เช่น การพิจารณาแผนฟื้นฟูกิจการ
- ตรวจสอบและคัดค้าน: เจ้าหนี้มีสิทธิตรวจดูคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายอื่น และยื่นคำร้องคัดค้านได้หากเห็นว่าไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ยังมีสิทธิคัดค้านแผนฟื้นฟูกิจการที่ไม่เป็นธรรมได้
- ติดตามความคืบหน้า: ติดตามรายงานจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หรือผู้บริหารแผนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ทราบถึงความคืบหน้าของคดีและสถานะการชำระหนี้
10. กรอบเวลาโดยสังเขปของคดีล้มละลาย
ช่วงระยะ | การฟื้นฟูกิจการ | การล้มละลาย (ชำระบัญชี) | หมายเหตุ |
|---|---|---|---|
ยื่นคำร้องถึงมีคำสั่งศาล | 2-3 เดือน | 3-6 เดือน | การไต่สวนในคดีฟื้นฟูฯ อาจรวดเร็วกว่า คดีล้มละลายอาจต้องใช้เวลาในการสืบพยานเรื่องภาวะหนี้สินล้นพ้นตัว |
การจัดทำแผน/การประนอมหนี้ | 5-7 เดือน (สำหรับจัดทำและขอความเห็นชอบแผน) | 1-3 ปีขึ้นไป (การรวบรวมและจำหน่ายทรัพย์สิน) | การจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการมีความซับซ้อนในเชิงธุรกิจมากกว่า |
การดำเนินการตามแผน/การชำระบัญชี | สูงสุด 5-7 ปี (การดำเนินการตามแผน) | 1-3 ปีขึ้นไป (การรวบรวมและจำหน่ายทรัพย์สิน) | ระยะเวลาขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของทรัพย์สิน, ข้อพิพาททางคดี, และสภาวะตลาดในการขายทรัพย์สิน |
รวมระยะเวลาโดยประมาณ | ~5-8 ปี | ~2-4 ปีขึ้นไป | ข้อควรจำ: กรอบเวลาเหล่านี้เป็นเพียงการประมาณการเท่านั้น และอาจเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีนัยสำคัญในทางปฏิบัติ |
11. ข้อพิจารณาเชิงกลยุทธ์สำหรับธุรกิจที่ประสบปัญหาทางการเงิน
การให้คำปรึกษาทางกฎหมายที่มีประสิทธิภาพสูงสุดมักเกิดขึ้น ก่อน ที่ธุรกิจจะเข้าสู่กระบวนการทางศาลอย่างเป็นทางการ สำหรับคณะกรรมการและผู้บริหารระดับสูง การพิจารณาเชิงกลยุทธ์ตั้งแต่เนิ่น ๆ สามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างมหาศาล
ข้อควรพิจารณาสำหรับผู้บริหาร:
- สังเกตสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า: ปัญหาไม่ได้เริ่มต้นที่ภาวะหนี้สินล้นพ้นตัว แต่เริ่มจากปัญหาสภาพคล่องที่ต่อเนื่อง หรือการไม่สามารถชำระหนี้ได้เมื่อถึงกำหนด การดำเนินการเชิงรุกตั้งแต่เห็นสัญญาณเหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญ
- ทำความเข้าใจหน้าที่ของกรรมการ: กรรมการบริษัทมีหน้าที่และความรับผิดตามกฎหมายที่ต้องปฏิบัติเมื่อบริษัทประสบปัญหาทางการเงิน การละเลยอาจนำไปสู่ความรับผิดส่วนตัวได้
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่เนิ่นๆ: อย่ารอจนวิกฤตเกินแก้ไข การปรึกษาที่ปรึกษากฎหมายและการเงินตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้สามารถประเมินทางเลือกทั้งหมดได้อย่างรอบด้าน รวมถึงการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้นอกศาล ซึ่งอาจเป็นทางออกที่รวดเร็วและมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า
- บริหารจัดการกระแสเงินสด: ในภาวะวิกฤต “เงินสดคือพระราชา” (Cash is King) ควรจัดทำประมาณการกระแสเงินสดระยะสั้นอย่างเร่งด่วน และควบคุมรายจ่ายที่ไม่จำเป็นทั้งหมด
- วางแผนการสื่อสาร: จัดทำแผนการสื่อสารที่ชัดเจนสำหรับผู้มีส่วนได้เสียหลัก เช่น สถาบันการเงิน, คู่ค้ารายใหญ่, พนักงาน และผู้ถือหุ้น การขาดการสื่อสารที่ดีอาจสร้างความไม่ไว้วางใจและเร่งให้เจ้าหนี้ดำเนินการทางกฎหมายได้
พิจารณาการเจรจานอกศาล: ก่อนการยื่นคำร้องต่อศาล ควรสำรวจความเป็นไปได้ในการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้กับเจ้าหนี้รายใหญ่โดยตรง การทำข้อตกลงประนอมหนี้นอกศาล (Composition) อาจเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
ไม่ได้ ตามกฎหมายล้มละลายของไทยปัจจุบัน กระบวนการล้มละลาย (เพื่อการชำระบัญชี) จะต้องเริ่มต้นจากการที่เจ้าหนี้ยื่นฟ้องเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ลูกหนี้สามารถยื่นคำร้องขอ "ฟื้นฟูกิจการ" ได้ด้วยตนเองหากเข้าเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด
สำหรับคดีล้มละลาย เจ้าหนี้สามารถฟ้องนิติบุคคลได้หากมีหนี้ไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาท หรือฟ้องบุคคลธรรมดาหากมีหนี้ไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท สำหรับการขอฟื้นฟูกิจการ ลูกหนี้ (บริษัทจำกัด/มหาชน) ต้องมีหนี้ไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท
คือการคุ้มครองทางกฎหมายที่สั่งห้ามเจ้าหนี้ฟ้องร้องหรือบังคับคดีกับลูกหนี้ชั่วคราว เพื่อให้ลูกหนี้มีเวลาในการจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการ สภาวะนี้จะเริ่มมีผลทันทีที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการไว้พิจารณา
กระบวนการทั้งหมดมีความซับซ้อนและใช้เวลาหลายปี โดยทั่วไป ตั้งแต่ยื่นคำร้องจนถึงศาลเห็นชอบแผนอาจใช้เวลาประมาณ 7-10 เดือน และระยะเวลาดำเนินการตามแผนอาจยาวนานถึง 5-7 ปี
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการยื่น "คำขอรับชำระหนี้" ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายใน 1 เดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งตั้งผู้ทำแผนในราชกิจจานุเบกษา การไม่ยื่นภายในกำหนดอาจทำให้เสียสิทธิในการได้รับชำระหนี้
อาจเป็นบุคคลเดียวกันหรือคนละบุคคลก็ได้ "ผู้ทำแผน" คือผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้จัดทำแผนฟื้นฟูกิจการ ส่วน "ผู้บริหารแผน" คือผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำเนินการตามแผนที่ได้รับความเห็นชอบแล้ว ในหลายกรณี ผู้ทำแผนอาจถูกเสนอชื่อให้เป็นผู้บริหารแผนต่อไป
ฝากข้อความ
โปรดกรอกแบบฟอร์มแล้วเราจะติดต่อคุณโดยเร็วที่สุด