jirawatlawoffice

พื้นที่ปฏิบัติงานของเรา

คดีปกครอง

ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายปกครองและศาลปกครอง

รากฐานแห่งความยุติธรรมทางปกครองในประเทศไทย

หลักการแห่งการตรวจสอบโดยศาล: การสร้างความรับผิดให้แก่อำนาจรัฐ

กฎหมายปกครองในประเทศไทยเป็นกลไกทางกฎหมายที่สำคัญซึ่งควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชน ทั้งในระดับบุคคลและองค์กรธุรกิจ โดยมีหัวใจสำคัญคือการสร้างหลักประกันว่าฝ่ายปกครองจะใช้อำนาจภายในขอบเขตที่กฎหมายกำหนด และประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทำของรัฐมีช่องทางในการได้รับการเยียวยาที่เป็นธรรม ก่อนหน้าปี พ.ศ. 2544 (2001) ประเทศไทยยังไม่มีศาลชำนัญพิเศษที่จัดตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาข้อพิพาทระหว่างรัฐกับประชาชนโดยตรง ทำให้การตรวจสอบการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารเป็นไปได้ยากและขาดความเป็นอิสระ 

จุดเปลี่ยนครั้งประวัติศาสตร์เกิดขึ้นเมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้บัญญัติให้มีการจัดตั้งศาลปกครองขึ้น เจตนารมณ์ดังกล่าวได้ถูกทำให้เป็นรูปธรรมผ่าน พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 (1999) ซึ่งมีผลให้ศาลปกครองสูงสุดและศาลปกครองกลางเริ่มดำเนินการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2544 (2001) การจัดตั้งศาลปกครองมิใช่เป็นเพียงการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นการปรับโครงสร้างดุลยภาพแห่งอำนาจครั้งสำคัญในสังคมไทย การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนในการส่งเสริมความโปร่งใสและเพิ่มอำนาจให้แก่ประชาชนในการตรวจสอบการทำงานของภาครัฐ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ศาลปกครองไม่ได้เป็นเพียงองค์กรตุลาการ แต่เป็นสถาบันที่เกิดขึ้นจากความต้องการของสังคมในวงกว้างที่เรียกร้องให้มีกลไกตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจรัฐอย่างเป็นระบบ

ภารกิจหลักของศาลปกครองคือการ “ตรวจสอบโดยฝ่ายตุลาการ” (Judicial Review) ต่อการกระทำของฝ่ายบริหาร ซึ่งหมายความว่าศาลมีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาว่าการกระทำ การออกกฎ คำสั่ง หรือการละเลยการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลปกครองจึงเปรียบเสมือนผู้พิทักษ์หลักนิติธรรม (Rule of Law) ที่ค้ำประกันว่าสิทธิและเสรีภาพของประชาชนจะไม่ถูกล่วงละเมิดจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของรัฐ บทบาทของศาลปกครองจึงไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการแก้ไขข้อพิพาทรายกรณี แต่ยังทำหน้าที่วางบรรทัดฐานและส่งเสริมวัฒนธรรมการบริหารราชการแผ่นดินที่ดี (Good Governance) ให้เกิดขึ้นในระบบราชการไทย

ขอบเขตแห่งอำนาจ ใครบ้างที่สามารถถูกฟ้องคดีได้?

เพื่อให้การตรวจสอบเป็นไปอย่างครอบคลุม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ ได้กำหนดนิยามของผู้ที่อยู่ภายใต้อำนาจศาลไว้อย่างกว้างขวาง เพื่อให้มั่นใจว่าการใช้อำนาจรัฐในทุกรูปแบบจะอยู่ภายใต้การตรวจสอบของศาลได้ 

  • “หน่วยงานทางปกครอง” (Administrative Agency): คำนิยามนี้มีความหมายที่กว้างและครอบคลุมองค์กรของรัฐในทุกระดับ ตั้งแต่กระทรวง ทบวง กรม ส่วนราชการที่มีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค (เช่น จังหวัด อำเภอ) และราชการส่วนท้องถิ่น (เช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล) นอกจากนี้ยังรวมถึงรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา และที่สำคัญที่สุดคือ “หน่วยงานอื่นของรัฐ” และ “หน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางปกครองหรือให้ดำเนินกิจการทางปกครอง” การกำหนดนิยามเช่นนี้มีนัยสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นการป้องกันไม่ให้รัฐหลีกเลี่ยงการตรวจสอบโดยการมอบหมายหรือโอนถ่ายอำนาจหน้าที่สาธารณะไปยังองค์กรกึ่งราชการหรือหน่วยงานที่มีรูปแบบคล้ายเอกชน อำนาจศาลปกครองจะพิจารณาจาก “ลักษณะของอำนาจ” ที่ใช้ (Function) ไม่ใช่เพียง “ชื่อ” หรือ “รูปแบบ” ขององค์กร (Form) ซึ่งเป็นหลักประกันที่สำคัญสำหรับภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (Public-Private Partnerships) ที่คู่สัญญาฝ่ายรัฐไม่สามารถอ้างเหตุแห่งการเป็นรัฐวิสาหกิจหรือองค์กรรูปแบบพิเศษเพื่อปฏิเสธเขตอำนาจของศาลปกครองได้
  • “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” (State Official): นิยามนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงข้าราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนเท่านั้น แต่ยังหมายความรวมถึงพนักงาน ลูกจ้าง คณะบุคคล หรือผู้ที่ปฏิบัติงานในหน่วยงานทางปกครองทั้งหมด นอกจากนี้ยังครอบคลุมถึง “คณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาท” หรือคณะกรรมการและบุคคลที่มีกฎหมายให้อำนาจในการออกกฎ คำสั่ง หรือมติที่มีผลกระทบต่อบุคคล ความกว้างของคำนิยามนี้ทำให้มั่นใจได้ว่าความรับผิดชอบ (Accountability) จะครอบคลุมไปถึงเจ้าหน้าที่ทุกระดับและทุกรูปแบบการปฏิบัติงานในกลไกของรัฐ

ประเภทของคดีปกครอง

พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ มาตรา 9 ได้ระบุประเภทของคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองไว้อย่างชัดเจน ซึ่งสามารถจำแนกเป็นประเภทหลัก ๆ ได้ดังนี้ 

การโต้แย้งคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย (Disputes Concerning Unlawful Administrative Orders)

  1. “คดีพิพาทเกี่ยวกับคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย”

 

คดีประเภทนี้เป็นคดีที่พบบ่อยที่สุดในศาลปกครอง โดยเป็นข้อพิพาทตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติฯ  “คำสั่งทางปกครอง” คือการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้าง เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเฉพาะเจาะจง คำสั่งดังกล่าวจะ “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” หากเข้าลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ :

  • เป็นการกระทำโดยไม่มีอำนาจ หรือนอกเหนือขอบเขตแห่งอำนาจ
  • ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กฎหมายกำหนด
  • เป็นการกระทำโดยไม่สุจริต หรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม
  • เป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็น หรือสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร
  • เป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ

บทบาทของศาลในคดีประเภทนี้ไม่ใช่การเข้าไปตัดสินใจแทนหน่วยงานทางปกครองว่านโยบายหรือการตัดสินใจนั้น “ดี” หรือ “เหมาะสม” หรือไม่ แต่เป็นการตรวจสอบในฐานะ “กรรมการ” เพื่อให้แน่ใจว่าหน่วยงานทางปกครองได้ปฏิบัติตาม “กฎกติกา” ที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างครบถ้วนหรือไม่ ศาลจะมุ่งเน้นไปที่ความชอบด้วยกฎหมายของ “กระบวนการ” ในการตัดสินใจเป็นสำคัญ ซึ่งหมายความว่าผู้ฟ้องคดีจะต้องสามารถชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องในทางกฎหมายหรือขั้นตอนการพิจารณาของหน่วยงาน ไม่ใช่เพียงการโต้แย้งว่าผลลัพธ์ของคำสั่งนั้นไม่เป็นที่พอใจ

ตัวอย่างคดี เช่น

  • การลงโทษทางวินัยที่ไม่เป็นธรรม เจ้าหน้าที่ของรัฐถูกมีคำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการ โดยกระบวนการสอบสวนไม่ได้ให้สิทธิผู้ถูกกล่าวหาในการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาอย่างเพียงพอ หรือคณะกรรมการสอบสวนมีส่วนได้เสียในเรื่องที่พิจารณา 
  • การเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจโดยมิชอบ: หน่วยงานรัฐมีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตตั้งสถานบริการหรือใบอนุญาตประกอบกิจการอื่น ๆ โดยอาศัยเหตุผลที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมาย หรือไม่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนการแจ้งเตือนล่วงหน้าตามที่กฎหมายกำหนด 
  • การปฏิเสธคำขอโดยพลการ: หน่วยงานปฏิเสธคำขอจดทะเบียนหรือคำขออนุญาต โดยใช้ดุลพินิจที่ไม่สมเหตุสมผล หรืออ้างอิงหลักเกณฑ์ที่ไม่ได้มีกฎหมายรองรับ 
  • คำสั่งย้ายที่ไม่เป็นธรรม: ข้าราชการถูกสั่งย้ายไปยังตำแหน่งอื่นโดยมีเจตนากลั่นแกล้ง หรือเป็นการลดตำแหน่งโดยพฤตินัย โดยไม่มีเหตุผลอันสมควรด้านการบริหารงานรองรับ 

 

การเรียกร้องค่าเสียหายจากการกระทำละเมิดและความรับผิดของรัฐ (Disputes Concerning Wrongful Acts by Administrative Agencies)

 

  1. “คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครอง”

 

คดีประเภทนี้อยู่ภายใต้อำนาจศาลตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) แห่งพระราชบัญญัติฯ ซึ่งเกี่ยวข้องกับกรณีที่บุคคลหรือองค์กรได้รับความเสียหายอันเนื่องมาจากการกระทำของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ความรับผิดดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ:

  • เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย เช่น ความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชนที่เกิดจากการดำเนินโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคของรัฐ
  • เกิดจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่นที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
  • เกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร

กรอบกฎหมายที่สำคัญในเรื่องนี้คือ พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (1996) ซึ่งวางหลักการสำคัญว่า หากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ หน่วยงานของรัฐต้นสังกัดจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในผลแห่งละเมิดนั้นต่อผู้เสียหายโดยตรง หลักการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานโดยสุจริตและด้วยความระมัดระวังตามสมควร ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์สาธารณะได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกฟ้องร้องเป็นส่วนตัว ดังนั้น เมื่อประชาชนได้รับความเสียหายจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ คู่กรณีที่ต้องถูกฟ้องในศาลปกครองจึงเป็น “หน่วยงาน” ต้นสังกัด ไม่ใช่ตัวเจ้าหน้าที่ผู้กระทำ (เว้นแต่จะเป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง) การวางกรอบกฎหมายเช่นนี้ช่วยให้กระบวนการฟ้องร้องของผู้เสียหายง่ายขึ้น เนื่องจากมีคู่กรณีที่ชัดเจนและมีความสามารถในการชดใช้ค่าเสียหายได้

ตัวอย่างคดีที่ เช่น

  • ความเสียหายจากโครงการก่อสร้างของรัฐ: บ้านเรือนของประชาชนเกิดรอยร้าวหรือทรุดตัวเนื่องจากแรงสั่นสะเทือนจากการตอกเสาเข็มในโครงการก่อสร้างทางด่วนหรือรถไฟฟ้าของหน่วยงานรัฐ
  • ข้อพิพาทจากการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์: เจ้าของที่ดินไม่เห็นด้วยกับจำนวนเงินค่าทดแทนที่คณะกรรมการกำหนดให้ สำหรับที่ดินที่ถูกเวนคืนเพื่อนำไปใช้ในโครงการสาธารณะ
  • ความประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่: ความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุบนท้องถนนอันเนื่องมาจากหน่วยงานที่รับผิดชอบละเลยการซ่อมบำรุงผิวจราจรหรือสัญญาณไฟให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัย
  • การยึดอายัดทรัพย์สินโดยมิชอบ: หน่วยงานรัฐทำการยึดหรืออายัดทรัพย์สินหรือบัญชีธนาคารของเอกชนโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมาย หรือดำเนินการเกินกว่าเหตุ

 

การระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง (Disputes Concerning Administrative Contracts)

 

  1. “คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง”

 

ข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองเป็นคดีอีกประเภทหนึ่งที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครองตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4) “สัญญาทางปกครอง” มีลักษณะที่แตกต่างจากสัญญาทางแพ่งทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีองค์ประกอบหลักคือ:

  1. คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งอย่างน้อยต้องเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ
  2. สัญญานั้นมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน, สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ, สัญญาที่จัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค, หรือสัญญาที่ให้แสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ

ลักษณะเด่นที่สุดที่ทำให้สัญญาทางปกครองแตกต่างจากสัญญาทางแพ่งคือ “ความไม่เท่าเทียมกันของคู่สัญญา” โดยธรรมชาติของสัญญา ฝ่ายรัฐในฐานะผู้ดูแลประโยชน์สาธารณะจะสงวน “เอกสิทธิ์” บางประการที่ไม่มีในสัญญาเอกชนทั่วไป เช่น สิทธิในการแก้ไขสัญญาได้ฝ่ายเดียว หรือแม้กระทั่งสิทธิในการบอกเลิกสัญญาหากประโยชน์สาธารณะเปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าคู่สัญญาฝ่ายเอกชนจะไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาก็ตาม เอกสิทธิ์พิเศษนี้ย่อมต้องสมดุลกับการที่ฝ่ายเอกชนมีสิทธิที่จะได้รับค่าทดแทนความเสียหายที่เป็นธรรมจากการใช้เอกสิทธิ์ดังกล่าวของรัฐ

ความสัมพันธ์ในลักษณะพิเศษนี้เองที่ทำให้ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นต้องถูกพิจารณาโดยศาลปกครอง ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในหลักกฎหมายมหาชนและเข้าใจถึงความจำเป็นในการสร้างดุลยภาพระหว่างประโยชน์สาธารณะกับสิทธิของเอกชน การทำความเข้าใจธรรมชาติของสัญญาทางปกครองจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับภาคธุรกิจที่ต้องการเข้าทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ

ตัวอย่างคดี เช่น

  • ข้อพิพาทเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ: บริษัทเอกชนที่เข้าร่วมการประกวดราคาโต้แย้งผลการตัดสินของคณะกรรมการพิจารณาผลฯ ว่าไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในเอกสารประกวดราคา (TOR) หรือกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
  • สัญญาสัมปทาน: ข้อพิพาทเกี่ยวกับเงื่อนไขการขึ้นค่าผ่านทางในสัญญาสัมปทานทางด่วน หรือการตีความขอบเขตสิทธิและหน้าที่ในสัญญาสัมปทานโทรคมนาคม
  • สัญญาจ้างก่อสร้าง: บริษัทรับเหมาก่อสร้างฟ้องร้องหน่วยงานรัฐให้ชำระค่าจ้างที่ค้างชำระ หรือโต้แย้งคำสั่งบอกเลิกสัญญาโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภค
  • สัญญาให้ทุนการศึกษา: ข้อพิพาทเกี่ยวกับเงื่อนไขการชดใช้ทุนของนักเรียนทุนรัฐบาลที่ไม่ปฏิบัติตามสัญญา เช่น ไม่กลับเข้ารับราชการตามระยะเวลาที่กำหนด

 

  1. การบังคับให้หน่วยงานปฏิบัติหน้าที่กรณีละเลย (Compelling Action for Neglect of Duty)

 

คดีประเภทนี้อยู่ภายใต้อำนาจศาลตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (2) แห่งพระราชบัญญัติฯ ซึ่งให้อำนาจศาลในการพิจารณาคดีที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ “ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร” บทบัญญัตินี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นการเปลี่ยน “ความคาดหวัง” ของประชาชนในการได้รับบริการจากรัฐให้กลายเป็น “สิทธิที่สามารถบังคับได้ตามกฎหมาย” กฎหมายไม่ได้เพียงแต่ลงโทษการ “กระทำ” ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ยังให้ความสำคัญกับการ “ไม่กระทำ” ที่ก่อให้เกิดความเสียหายด้วย ในระบบราชการ ความเสียหายจำนวนมากมักเกิดจากการปล่อยปละละเลย ความล่าช้าที่ไม่สิ้นสุด หรือการไม่ตอบสนองต่อคำร้องของประชาชน บทบัญญัตินี้จึงเป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่ทรงพลังในการต่อสู้กับความเฉื่อยชาของระบบราชการ โดยกฎหมายได้กำหนดกลไกที่ชัดเจนในการดำเนินการ เช่น ในกรณีที่ประชาชนยื่นคำร้องขอให้หน่วยงานดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่หน่วยงานเพิกเฉย กฎหมายได้กำหนดให้ผู้ร้องสามารถรอเป็นเวลา 90 วัน หากยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ ก็จะถือว่ามีเหตุแห่งการฟ้องคดีเกิดขึ้น และสามารถนำคดีขึ้นสู่ศาลได้ กลไกนี้ช่วยป้องกันไม่ให้คำร้องของประชาชนถูกเพิกเฉยอย่างไม่มีกำหนด

ตัวอย่างคดี เช่น

  • หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ออกใบอนุญาตก่อสร้างหรือใบอนุญาตประกอบกิจการให้แก่ผู้ยื่นคำขอที่มีคุณสมบัติครบถ้วนภายในกรอบระยะเวลาที่กฎหมายหรือระเบียบกำหนด
  • เทศบาลหรือองค์การบริหารส่วนตำบลละเลยหน้าที่ในการจัดเก็บขยะ ดูแลรักษาความสะอาดของท่อระบายน้ำ หรือซ่อมแซมถนนสาธารณะที่ชำรุด จนก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญหรือเป็นอันตรายต่อประชาชนในพื้นที่
  • เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิเสธที่จะรับแจ้งความร้องทุกข์จากประชาชนโดยไม่มีเหตุอันสมควรตามกฎหมาย

การนำทางสู่กระบวนการทางกฎหมาย: คู่มือสำหรับผู้ฟ้องคดี

เส้นทางสู่ศาล: คำแนะนำทีละขั้นตอน

การยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองมีกระบวนการที่ถูกออกแบบมาให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย อย่างไรก็ตาม มีขั้นตอนและเงื่อนไขสำคัญที่ผู้ฟ้องคดีต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

  • เงื่อนไขบังคับก่อน – การดำเนินการตามขั้นตอนภายใน: โดยทั่วไปแล้ว ก่อนที่จะนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง กฎหมายมักกำหนดให้ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายต้องดำเนินการตามขั้นตอนการแก้ไขความเดือดร้อนภายในฝ่ายปกครองเสียก่อน หากมีช่องทางดังกล่าวบัญญัติไว้เป็นเฉพาะ ตัวอย่างเช่น ในคดีวินัยข้าราชการ ผู้ถูกลงโทษจะต้องยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) หรือองค์กรอุทธรณ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องก่อน จึงจะสามารถนำคดีมาฟ้องต่อศาลได้ การฟ้องคดีโดยไม่ผ่านขั้นตอนบังคับก่อนนี้อาจเป็นเหตุให้ศาลไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา
  • การร่างคำฟ้อง (Drafting the Complaint): คำฟ้องต้องจัดทำเป็นหนังสือและใช้ถ้อยคำสุภาพ แม้จะไม่มีแบบฟอร์มที่ตายตัว แต่ตามมาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติฯ คำฟ้องจะต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญครบถ้วน 5 ประการ ดังนี้:
    1. ชื่อและที่อยู่ของผู้ฟ้องคดี: ระบุข้อมูลของผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย
    2. ชื่อหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ถูกฟ้องคดี: ระบุคู่กรณีฝ่ายรัฐให้ถูกต้อง
    3. การกระทำที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดี: อธิบายพฤติการณ์ ข้อเท็จจริง และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยละเอียด ว่าหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ได้กระทำการหรือละเลยการกระทำใดที่เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนเสียหาย
    4. คำขอท้ายฟ้อง: ระบุความต้องการของผู้ฟ้องคดีให้ชัดเจนว่าต้องการให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งอย่างไร เช่น ขอให้เพิกถอนคำสั่ง, ขอให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินเท่าใด, หรือขอให้สั่งให้หน่วยงานปฏิบัติหน้าที่
    5. ลายมือชื่อของผู้ฟ้องคดี: ผู้ฟ้องคดีต้องลงลายมือชื่อในคำฟ้อง
  • การยื่นฟ้อง: ผู้ฟ้องคดีสามารถยื่นคำฟ้องได้หลายช่องทาง ได้แก่ การยื่นด้วยตนเอง ณ ที่ทำการศาลปกครองที่เกี่ยวข้อง, การส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน, หรือการยื่นฟ้องผ่านระบบงานคดีปกครองอิเล็กทรอนิกส์ (e-Litigation) ของสำนักงานศาลปกครอง 

แม้ว่าระบบจะถูกออกแบบมาให้ประชาชนสามารถดำเนินการได้ด้วยตนเองโดยไม่จำเป็นต้องมีทนายความ 8 แต่ในทางปฏิบัติ ความซับซ้อนของข้อกฎหมาย การตีความเงื่อนไขการฟ้องคดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคำนวณระยะเวลาการฟ้องคดี และการกำหนดคำขอท้ายฟ้องให้ถูกต้องตามอำนาจของศาล ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลต่อความสำเร็จของคดีได้ สิ่งนี้สร้างสภาวะที่เรียกว่า “ความย้อนแย้งของการเข้าถึงได้” (Paradox of Accessibility) กล่าวคือ แม้ขั้นตอนการยื่นฟ้องจะเรียบง่าย แต่เนื้อหาทางกฎหมายที่จำเป็นต่อการชนะคดีนั้นมีความซับซ้อนสูง การยื่นฟ้องโดยขาดความเข้าใจในประเด็นกฎหมายที่สำคัญอาจทำให้คดีถูกยกฟ้องได้โดยง่าย ดังนั้น การขอรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายปกครองจึงยังคงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับข้อพิพาทที่มีความสำคัญ

กำหนดเวลาที่สำคัญ อายุความในการฟ้องคดี

ระยะเวลาการฟ้องคดี หรือ “อายุความ” เป็นเงื่อนไขที่สำคัญอย่างยิ่งและเป็นข้อผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดซึ่งอาจทำให้ผู้ฟ้องคดีหมดสิทธิในการเรียกร้องความเป็นธรรมได้ การฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดจะส่งผลให้ศาลต้องมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาหรือพิพากษายกฟ้อง อายุความสำหรับคดีปกครองแต่ละประเภทมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังนี้:

  • คดีฟ้องเพิกถอนคำสั่งทางปกครอง (General Rule – Unlawful Orders): ต้องยื่นฟ้องภายใน 90 วัน นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี โดยทั่วไปคือวันที่ได้รับแจ้งคำสั่งทางปกครองนั้น หากกฎหมายเฉพาะเรื่องกำหนดให้มีขั้นตอนการอุทธรณ์ภายในฝ่ายปกครองก่อน ระยะเวลา 90 วันจะเริ่มนับใหม่นับแต่วันที่ได้รับแจ้งผลการวินิจฉัยอุทธรณ์
  • คดีเกี่ยวกับการกระทำละเมิด (Wrongful Acts – Torts): ต้องยื่นฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่วันที่รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันที่มีการทำละเมิด 19
  • คดีเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง (Administrative Contracts): ต้องยื่นฟ้องภายใน 5 ปี นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันที่มีเหตุแห่งการฟ้องคดี 40
  • คดีเกี่ยวกับการละเลยต่อหน้าที่ (Neglect of Duty): หากประชาชนได้มีหนังสือร้องขอให้หน่วยงานปฏิบัติหน้าที่แล้ว แต่หน่วยงานเพิกเฉย การฟ้องคดีจะต้องกระทำภายใน 90 วัน นับแต่วันที่พ้นกำหนด 90 วัน นับแต่วันที่ได้ยื่นหนังสือร้องขอนั้น

เพื่อความชัดเจนและง่ายต่อการอ้างอิง สามารถสรุประยะเวลาการฟ้องคดีปกครองได้ดังตารางต่อไปนี้

ขอบเขตบริการ

Package 1: Starter (ตรวจสอบและยื่นคำขอ)

Package 2: Professional (ดูแลครบวงจรสู่การอนุมัติ)

Package 3: Premium Partner (พันธมิตรครบวงจรหลังอนุมัติ)

การประเมินคุณสมบัติและวางกลยุทธ์

การตรวจสอบแผนธุรกิจและการเงิน

การเตรียมและยื่นคำขอผ่านระบบ e-Investment

การประสานงานกับเจ้าหน้าที่ BOI

การเตรียมตัวและสนับสนุนการสัมภาษณ์

การดำเนินการตอบรับมติและการขอรับบัตรส่งเสริม

การให้คำปรึกษาตั้งค่าระบบหลังอนุมัติ (e-Expert/Single Window)

แพ็กเกจยื่นขอ Visa & Work Permit (สำหรับ 1 ท่าน)

รูปแบบราคาที่แนะนำ

Fixed Fee

Hybrid (Base Fee + Success Fee)

Hybrid (Base Fee + Success Fee)

กระบวนพิจารณาของศาล ระบบไต่สวน (The Court Process: The Inquisitorial System)

กระบวนพิจารณาคดีของศาลปกครองมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับศาลยุติธรรม (ศาลแพ่งและศาลอาญา) โดยศาลปกครองใช้ “ระบบไต่สวน” (Inquisitorial System) ในขณะที่ศาลยุติธรรมใช้ “ระบบกล่าวหา” (Adversarial System)

ในระบบกล่าวหา ภาระในการนำเสนอพยานหลักฐานทั้งหมดจะตกอยู่กับคู่ความแต่ละฝ่าย ศาลจะมีบทบาทเป็นกลางในการรับฟังและชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานที่คู่ความนำเสนอ แต่ในระบบไต่สวนของศาลปกครอง องค์คณะตุลาการจะมีบทบาทสำคัญและเป็นฝ่ายรุกในการแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อให้ได้ความจริงในคดีมาปรากฏอย่างสมบูรณ์ที่สุด ศาลไม่ได้จำกัดอยู่เพียงพยานหลักฐานที่คู่ความนำเสนอ แต่สามารถเรียกเอกสารหรือพยานบุคคลเพิ่มเติมได้ตามที่เห็นสมควร กระบวนพิจารณาส่วนใหญ่จะเน้นพยานหลักฐานที่เป็นเอกสารเป็นหลัก 

การนำระบบไต่สวนมาใช้ในคดีปกครองตั้งอยู่บนพื้นฐานความเข้าใจถึง “ความไม่เท่าเทียมกันของอำนาจ” ระหว่างรัฐกับเอกชน หน่วยงานของรัฐมีทรัพยากร มีบุคลากร และสามารถเข้าถึงเอกสารราชการภายในทั้งหมดได้ ในขณะที่ประชาชนหรือภาคธุรกิจอาจมีข้อจำกัดในการเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้น ระบบไต่สวนจึงเป็นกลไกที่ศาลใช้เพื่อ “ปรับสมดุล” และสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้น โดยศาลจะใช้อำนาจในการสั่งให้หน่วยงานของรัฐส่งมอบเอกสารหรือข้อมูลที่จำเป็นต่อการพิจารณาคดี ซึ่งเป็นการช่วยลดภาระของผู้ฟ้องคดีและทำให้มั่นใจได้ว่าการตัดสินคดีจะตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงที่ครบถ้วนรอบด้าน

ผลลัพธ์ของคำพิพากษาในคดีปกครองและการเยียวยา

4.1 อำนาจของศาลในการออกคำบังคับ (The Court’s Power to Issue Orders)

คำพิพากษาของศาลปกครองไม่ได้เป็นเพียงการประกาศว่าฝ่ายใดถูกหรือผิด แต่จะมีส่วนสำคัญที่เรียกว่า “คำบังคับ” (คำบังคับ) ซึ่งเป็นคำสั่งที่มีผลผูกพันให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องปฏิบัติตาม อำนาจในการกำหนดคำบังคับของศาลตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 72 แห่งพระราชบัญญัติฯ แสดงให้เห็นว่าวัตถุประสงค์ของศาลไม่ใช่เพียงการรับรองสิทธิ แต่คือการ “ให้การเยียวยาที่เกิดผลจริง” แก่ผู้เสียหาย โดยศาลสามารถกำหนดคำบังคับได้หลายลักษณะ เพื่อให้เหมาะสมกับแต่ละกรณี ดังนี้ :

  • การสั่งให้เพิกถอน (Revocation): ศาลอาจมีคำสั่งให้เพิกถอนกฎหรือคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายทั้งหมดหรือเพียงบางส่วนก็ได้ นี่คือการเยียวยาพื้นฐานในคดีที่โต้แย้งความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่ง เช่น การเพิกถอนคำสั่งลงโทษทางวินัย หรือการเพิกถอนคำสั่งไม่อนุญาต
  • การสั่งห้ามการกระทำ (Injunction): ในกรณีที่การกระทำของหน่วยงานจะก่อให้เกิดความเสียหายที่ยากแก่การเยียวยาในภายหลัง ศาลอาจมีคำสั่งห้ามมิให้หน่วยงานนั้นกระทำการดังกล่าวต่อไป
  • การสั่งให้กระทำการ (Mandamus): ในคดีที่หน่วยงานละเลยต่อหน้าที่ ศาลมีอำนาจสั่งให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดภายในระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควร
  • การสั่งให้ใช้เงินหรือส่งมอบทรัพย์สิน (Compensation): ในคดีละเมิดหรือคดีสัญญาทางปกครอง ศาลมีอำนาจสั่งให้หน่วยงานของรัฐชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายเป็นตัวเงิน หรือสั่งให้ส่งมอบทรัพย์สินคืนแก่ผู้ฟ้องคดี ศาลยังสามารถกำหนดเงื่อนไขหรือวิธีการชำระหนี้ไว้ในคำพิพากษาได้ด้วย 

อำนาจในการออกคำบังคับที่หลากหลายนี้เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้คำพิพากษาของศาลปกครองมีสภาพบังคับในทางปฏิบัติ และสามารถคืนความเป็นธรรมให้แก่ผู้เสียหายได้อย่างแท้จริง ตัวอย่างเช่น ในคดีที่ใบอนุญาตประกอบธุรกิจถูกเพิกถอนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลไม่เพียงแต่จะพิพากษาว่าคำสั่งเพิกถอนนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ยังมีอำนาจ “บังคับ” ให้หน่วยงานคืนใบอนุญาตให้แก่ผู้ฟ้องคดี และสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหายสำหรับผลกำไรที่สูญเสียไประหว่างที่ธุรกิจต้องหยุดชะงักได้อีกด้วย

คำแนะนำเบื้องต้น

เมื่อใดที่คุณควรขอคำปรึกษาจากทนายความด้านกฎหมายปกครอง

จากที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น จะเห็นได้ว่าแม้ระบบศาลปกครองของไทยจะถูกออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน แต่กระบวนการทางกฎหมายกลับมีความซับซ้อนและมีรายละเอียดปลีกย่อยที่สำคัญจำนวนมาก การพึ่งพาตนเองในการดำเนินคดีโดยปราศจากความรู้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งอาจนำไปสู่ความผิดพลาดที่ไม่อาจแก้ไขได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นต่อไปนี้:

  • การวินิจฉัยประเด็นแห่งคดี: การระบุให้ได้ว่าการกระทำของรัฐเข้าข่ายเป็น “คำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” “การกระทำละเมิด” หรือ “การผิดสัญญาทางปกครอง” เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะแต่ละประเภทคดีมีเงื่อนไขและอายุความที่แตกต่างกัน
  • การปฏิบัติตามเงื่อนไขอายุความ: ดังที่แสดงในตารางข้างต้น อายุความในคดีปกครองมีความหลากหลายและเข้มงวด การคำนวณวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดของอายุความผิดพลาดเพียงวันเดียวอาจหมายถึงการสูญเสียสิทธิในการฟ้องคดีไปอย่างถาวร
  • การร่างคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้อง: การกำหนด “คำขอ” ท้ายฟ้องให้ถูกต้องและสอดคล้องกับอำนาจของศาลเป็นศิลปะทางกฎหมายที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ การขอในสิ่งที่ศาลไม่มีอำนาจให้ อาจทำให้เสียเวลาและทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์
  • การเตรียมพยานหลักฐาน: แม้ศาลจะใช้ระบบไต่สวน แต่การเตรียมและนำเสนอพยานหลักฐานที่เป็นเอกสารอย่างเป็นระบบและมีน้ำหนักตั้งแต่ต้น จะช่วยให้ศาลเข้าใจประเด็นและข้อเท็จจริงของคดีได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ การขอคำปรึกษาจากทนายความผู้มีความเชี่ยวชาญในกฎหมายปกครองโดยเฉพาะจึงไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่อาจตัดสินผลของคดีได้ การมีผู้เชี่ยวชาญเข้ามาดูแลคดีตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าทุกขั้นตอน ตั้งแต่การประเมินคดี การเตรียมคำฟ้อง ไปจนถึงการดำเนินกระบวนพิจารณา จะเป็นไปอย่างถูกต้องตามหลักกฎหมายและมีประสิทธิภาพสูงสุด

การเลือกใช้บริการผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการยอมรับเป็นสิ่งสำคัญในการรับมือกับความซับซ้อนเหล่านี้ ผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการยอมรับสามารถสร้างความมั่นใจได้ว่าคดีของคุณจะถูกวางอยู่บนรากฐานทางกฎหมายที่มั่นคงตั้งแต่เริ่มต้น ในแง่นี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า คุณจิระวัฒน์ ลีละวาณิชย์ ผู้ก่อตั้ง JIRAWAT & ASSOCIATES ได้รับการรับรองจาก Global Law Experts ในฐานะสมาชิกผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายปกครองในประเทศไทย ([https://globallawexperts.com/global-law-experts-welcomes-jirawat-leelawanich-as-thailands-administrative-law-specialist/]) การยอมรับดังกล่าวเป็นการตอกย้ำถึงความเชี่ยวชาญที่ได้รับการพิสูจน์แล้วในสาขากฎหมายเฉพาะทางนี้ของสำนักงานกฎหมายของเรา

 

โดยสรุป กฎหมายปกครองและศาลปกครองของประเทศไทยได้สร้างกรอบการทำงานทางกฎหมายที่เข้มแข็งและมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับบุคคลและองค์กรธุรกิจในการแสวงหาความเป็นธรรม ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ และเรียกร้องความรับผิดชอบจากหน่วยงานทางปกครอง ระบบนี้ถือเป็นหลักประกันขั้นพื้นฐานที่ทำให้มั่นใจได้ว่าการบริหารราชการแผ่นดินจะดำเนินไปภายใต้หลักนิติธรรม และสิทธิของเอกชนจะได้รับการคุ้มครองอย่างเป็นรูปธรรม

แม้การเผชิญหน้ากับหน่วยงานของรัฐอาจดูเป็นเรื่องที่น่ากังวล แต่กฎหมายได้วางเส้นทางที่ชัดเจนไว้สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การทำความเข้าใจในสิทธิ กระบวนการ และช่องทางการเยียวยาที่มีอยู่ ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการปกป้องผลประโยชน์ของตนเองและส่งเสริมให้เกิดการบริหารราชการที่ดีในสังคมไทย

หากท่านได้รับผลกระทบจากคำสั่งหรือการกระทำของหน่วยงานทางปกครอง ท่านมีสิทธิที่จะได้รับการตรวจสอบตามกฎหมาย โปรดติดต่อ JIRAWAT & ASSOCIATES เพื่อประเมินคดีของท่าน

ฝากข้อความ

โปรดกรอกแบบฟอร์มแล้วเราจะติดต่อคุณโดยเร็วที่สุด

    Scroll to Top