ในการเริ่มต้นทำธุรกิจ การจดทะเบียนพาณิชย์อย่างถูกต้องตามกฎหมายถือเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการควรให้ความใส่ใจ ไม่ว่าจะทำธุรกิจส่วนตัวหรือธุรกิจออนไลน์ก็ตาม เพราะหากไม่จดทะเบียนหรือหลีกเลี่ยงไม่จด อาจมีบทลงโทษทางกฎหมายตามมาในภายหลัง ดังนั้น เมื่อต้องการสร้างและดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนก็จำเป็นต้องศึกษา “การจดทะเบียนพาณิชย์” ให้ถี่ถ้วนเสียก่อน
ทะเบียนพาณิชย์คืออะไร
การจดทะเบียนพาณิชย์ คือ การจดแจ้งต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) เพื่อแสดงตัวตนของธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยใบทะเบียนพาณิชย์เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับกิจการ และเป็นหลักฐานทางการค้าที่สำคัญที่ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลต้องมีไว้ ทั้งนี้การจดทะเบียนพาณิชย์ไม่ใช่การเสียภาษี แต่เป็นเพียงการแจ้งให้รัฐทราบว่ากำลังดำเนินธุรกิจอยู่
ใครบ้างต้องจดทะเบียนพาณิชย์
อันดับแรกก่อนทำการจดทะเบียนการค้า ต้องตรวจสอบว่าธุรกิจดังกล่าวอยู่ในเกณฑ์ของผู้ที่มีหน้าที่จดทะเบียนพาณิชย์หรือไม่ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้แบ่งออกไว้เป็น 5 ประเภท ดังนี้
- บุคคลธรรมดาคนเดียวหรือกิจการที่มีเจ้าของคนเดียว
- ห้างหุ้นส่วนสามัญ
- ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด
- บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด
- นิติบุคคลต่างประเทศที่มาตั้งสำนักงานสาขาภายในประเทศไทย
ทั้งนี้ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการเป็นคนต่างด้าวหรือเป็นสำนักงานสาขาต่างประเทศที่ถูกตั้งขึ้นมา ต้องตรวจสอบว่ากิจการค้าที่ดำเนินการได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 หรือไม่ โดยจำเป็นต้องได้รับอนุญาตก่อน จึงจะสามารถยื่นจดทะเบียนพาณิชย์ได้
ส่วนกิจการที่ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ ได้แก่
- การค้าเร่หรือการค้าแผงลอย
- พาณิชยกิจเพื่อการบำรุงศาสนาหรือเพื่อการกุศล
- พาณิชยกิจของกระทรวง ทบวง กรม
- มูลนิธิ สมาคม หรือสหกรณ์
- พาณิชยกิจของกลุ่มเกษตรกร (จดทะเบียนตาม ปว.141 ลงวันที่ 1 พฤษภาคม 2515)
- พาณิชยกิจของนิติบุคคล ซึ่งได้มีพระราชบัญญัติ หรือพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งขึ้น
วิธีการจดทะเบียนพาณิชย์
ในการจดทะเบียนพาณิชย์ สามารถแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ
1. ธุรกิจหรือผู้ประกอบการที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร
สามารถจดทะเบียนการค้าได้ทั้งหมด 3 แห่ง คือ สำนักงานเขตที่ธุรกิจตั้งอยู่ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และสำนักการคลัง
2. ธุรกิจหรือผู้ประกอบการที่อยู่ต่างจังหวัด
สามารถจดทะเบียนพาณิชย์ได้ที่เทศบาล หรือองค์การบริการส่วนตำบลที่ธุรกิจตั้งอยู่
โดยผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจ หรือนิติบุคคลจำเป็นต้องเตรียมเอกสารสำคัญ ดังนี้
- แบบคำขอจดทะเบียนพาณิชย์ (แบบ ทพ.)
- สำเนาบัตรประชาชนของผู้ประกอบพาณิชยกิจ
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี)
- สำเนาสัญญาเช่า (กรณีเช่าสถานที่)
- แผนที่ตั้งสถานประกอบการ
กรณีเป็นนิติบุคคลต่างประเทศ ต้องเตรียมเอกสารเพิ่มเติม ได้แก่
- สำเนาเอกสารแสดงการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล
- หนังสือแต่งตั้งผู้รับผิดชอบดำเนินกิจการในประเทศ
- ใบอนุญาตทำงานของผู้รับผิดชอบดำเนินกิจการในประเทศ (กรณีเป็นบุคคลต่างด้าว)
- ใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว หรือหนังสือรับรองการใช้สิทธิตามสนธิสัญญา (ถ้ามี)
จดทะเบียนพาณิชย์และจดทะเบียนบริษัท ต่างกันอย่างไร
สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจอาจสับสนว่า จดทะเบียนพาณิชย์และจดทะเบียนบริษัทต่างกันอย่างไร โดยทั้งสองรูปแบบมีความแตกต่างที่สำคัญหลายประการที่ผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจ
สถานะทางกฎหมาย
การจดทะเบียนพาณิชย์เป็นการแจ้งให้รัฐทราบว่าคุณกำลังดำเนินธุรกิจ โดยไม่ได้สร้างสถานะทางกฎหมายใหม่แต่อย่างใด ธุรกิจและเจ้าของยังคงเป็นบุคคลเดียวกันในทางกฎหมาย ในขณะที่ การจดทะเบียนบริษัทเป็นการสร้างนิติบุคคลใหม่แยกออกจากตัวผู้ถือหุ้น ทำให้บริษัทสามารถทำนิติกรรมต่าง ๆ ในนามของตนเองได้
ความรับผิดชอบต่อหนี้สินและภาระผูกพัน
ความแตกต่างที่สำคัญอีกประการคือเรื่องความรับผิดชอบต่อหนี้สิน ในการจดทะเบียนพาณิชย์ เจ้าของกิจการต้องรับผิดชอบต่อหนี้สินทั้งหมดของธุรกิจโดยไม่จำกัดจำนวน ทรัพย์สินส่วนตัวของเจ้าของสามารถถูกนำมาชำระหนี้ของกิจการได้ แต่ในการจดทะเบียนบริษัท ผู้ถือหุ้นจะรับผิดจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินที่ตนลงทุนไว้ในบริษัท ทำให้ทรัพย์สินส่วนตัวได้รับการคุ้มครอง
ภาษี
ในด้านภาษี การจดทะเบียนพาณิชย์จะเสียภาษีแบบขั้นบันไดตามรายได้ สามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาหรือตามจริงได้ ส่วนการจดทะเบียนบริษัท จะเสียภาษีในอัตราคงที่ร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิ แต่สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริงและมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีหลายประการ
ความน่าเชื่อถือและโอกาสทางธุรกิจ
การจดทะเบียนบริษัทสามารถแสดงถึงความมั่นคงของธุรกิจ ทำให้มีโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน การประมูลงาน หรือการทำธุรกิจกับองค์กรขนาดใหญ่ได้ดีกว่า ในขณะที่การจดทะเบียนพาณิชย์อาจมีข้อจำกัดในการขยายธุรกิจและการเข้าถึงแหล่งเงินทุน แต่ก็เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กที่เพิ่งเริ่มต้น
ข้อดีของการจดทะเบียนพาณิชย์

การจดทะเบียนพาณิชย์ ไม่เพียงแต่เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังมอบประโยชน์มากมายให้กับผู้ประกอบการที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว ทั้งในแง่ของความน่าเชื่อถือ โอกาสทางธุรกิจ และการได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ซึ่งสามารถแบ่งประโยชน์หลัก ๆ ออกเป็น 3 ด้านดังนี้
1. ด้านธุรกิจ
การมีใบทะเบียนพาณิชย์ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจในสายตาของลูกค้า คู่ค้า และพันธมิตรทางธุรกิจ เพราะแสดงให้เห็นว่าธุรกิจมีตัวตนที่ชัดเจนและดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากนี้ยังเพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจกับหน่วยงานภาครัฐหรือองค์กรใหญ่ที่ต้องการหลักฐานการจดทะเบียนประกอบการทำธุรกรรม อีกทั้งยังสามารถใช้เป็นหลักฐานทางการค้าในการติดต่อกับหน่วยงานต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. ด้านการเงิน
ทะเบียนพาณิชย์ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยสามารถใช้เป็นเอกสารประกอบการขอสินเชื่อธุรกิจ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ในการขอการสนับสนุนจากโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ เช่น โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือโครงการส่งเสริม SMEs ต่าง ๆ ที่กำหนดให้ผู้เข้าร่วมต้องมีการจดทะเบียนพาณิชย์อย่างถูกต้อง
3. ด้านกฎหมาย
แน่นอนว่าการดำเนินกิจการที่ผ่านการจดทะเบียนพาณิชย์ช่วยให้ธุรกิจได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายอย่างเต็มที่ หากเกิดข้อพิพาททางการค้าก็สามารถดำเนินคดีทางกฎหมายในนามของกิจการได้ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการถูกเอาเปรียบจากคู่ค้าหรือลูกค้า และที่สำคัญคือ ช่วยหลีกเลี่ยงบทลงโทษจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
บทลงโทษหากไม่จดทะเบียนพาณิชย์
การไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติทะเบียนพาณิชย์มีบทลงโทษที่ชัดเจน โดยบทลงโทษมีหลายระดับตามความรุนแรงของการกระทำผิด ดังนี้
1. การไม่จดทะเบียนพาณิชย์
ผู้ประกอบการที่มีหน้าที่จดทะเบียนพาณิชย์แต่ละเลยไม่ดำเนินการ มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท และยังมีโทษปรับรายวันอีกวันละไม่เกิน 100 บาท จนกว่าจะจดทะเบียนพาณิชย์อย่างถูกต้อง ซึ่งการไม่จดทะเบียนถือเป็นความผิดต่อเนื่อง ยิ่งปล่อยไว้นานยิ่งมีโทษปรับสะสมมากขึ้น
2. การไม่ปฏิบัติตามระเบียบ
กรณีละเลยการปฏิบัติตามระเบียบทั่วไป มีโทษปรับไม่เกิน 200 บาท และปรับต่อเนื่องวันละไม่เกิน 20 บาท จนกว่าจะดำเนินการให้ถูกต้อง ซึ่งครอบคลุมความผิด คือ
- ไม่แสดงใบทะเบียนพาณิชย์ไว้ที่สำนักงานในที่เปิดเผย
- ไม่จัดทำป้ายชื่อร้านหรือป้ายไม่ถูกต้องตามระเบียบ
- ไม่แจ้งขอใบแทนกรณีใบทะเบียนพาณิชย์สูญหาย
- ไม่แจ้งการเปลี่ยนแปลงรายการจดทะเบียนภายในเวลาที่กำหนด
กรณีที่ธุรกิจทำการทุจริต เช่น ปลอมแปลงสินค้า หรือฉ้อโกงประชาชน อาจถูกพิจารณาถอนใบจดทะเบียนและไม่สามารถประกอบกิจการต่อได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
3. การฝ่าฝืนคำสั่งถอนใบทะเบียน
กรณีที่ผู้ประกอบพาณิชยกิจถูกสั่งถอนใบทะเบียนแล้วยังฝ่าฝืนดำเนินกิจการต่อ จะมีบทลงโทษคือปรับไม่เกิน 10,000 บาท จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
จากทั้งหมดที่ได้กล่าวไปข้างต้น สรุปได้ว่าการจดทะเบียนพาณิชย์เป็นขั้นตอนสำคัญในการเริ่มธุรกิจอย่างถูกกฎหมาย ซึ่งการยื่นขอจดทะเบียนนั้นมีขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อน แต่ก็จำเป็นต้องเตรียมเอกสารต่าง ๆ ให้พร้อม หรือจะทำการจดทะเบียนการค้าออนไลน์ก็ได้เช่นกัน เพื่อให้ธุรกิจดำเนินการได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีความน่าเชื่อถือ และไม่เกิดข้อผิดพลาดตามมาจนต้องรับโทษตามกฎหมาย
หากต้องการความช่วยเหลือในการขอใบอนุญาตและจดทะเบียนพาณิชย์ สามารถติดต่อ สำนักงานกฎหมาย JIRAWAT & ASSOCIATES LAW OFFICE ทีมงานและทนายเรามีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายการค้า พร้อมให้คำปรึกษาและบริการตามความต้องการของธุรกิจ ติดต่อเราได้ที่
เว็บไซต์: www.jirawatlawoffice.co.th
โทร.: 093-251-450