
การดำเนินธุรกิจในประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ SMEs ขนาดย่อม ธุรกิจโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ธุรกิจของนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม และการท่องเที่ยว ล้วนต้องปฏิบัติตามกฎหมายธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด พื้นที่เศรษฐกิจสำคัญอย่างกรุงเทพมหานคร พัทยา ชลบุรี และระยอง มีผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติประกอบธุรกิจหลากหลายประเภท การมีความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายธุรกิจไทยจะช่วยให้ผู้ประกอบการดำเนินกิจการได้อย่างมั่นใจและถูกต้องตามกฎหมาย
บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นคู่มือเบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายธุรกิจในประเทศไทย โดยมีเนื้อหาครอบคลุมตั้งแต่ขั้นตอนการจัดตั้งบริษัท การขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจ กฎหมายหลักที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนกฎหมายเฉพาะทางสำหรับประเภทธุรกิจต่าง ๆ ที่พบได้บ่อย ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ประกอบการชาวไทยหรือนักลงทุนต่างชาติ คู่มือนี้จะช่วยให้เข้าใจภาพรวมของข้อกฎหมายที่ควรรู้เมื่อทำธุรกิจในประเทศไทย
การจัดตั้งบริษัทในประเทศไทย
รูปแบบนิติบุคคล: การประกอบธุรกิจในไทยนิยมดำเนินการในรูปแบบ บริษัทจำกัด (Limited Company) ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่แยกต่างหากจากตัวผู้ถือหุ้น มีความรับผิดจำกัดตามมูลค่าหุ้นที่ถือ ขั้นตอนแรกในการเริ่มธุรกิจคือการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) โดยต้องยื่นจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิและจัดให้มีการประชุมจัดตั้งบริษัทอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ก่อนปี พ.ศ. 2566 กฎหมายกำหนดให้ต้องมีผู้ก่อการอย่างน้อย 3 คนในการจัดตั้งบริษัท แต่กฎหมายที่แก้ไขใหม่กำหนดให้มีผู้ก่อการเพียง 2 คนก็สามารถจดทะเบียนบริษัทจำกัดได้ ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการรายย่อยมากขึ้น
ทุนจดทะเบียน: บริษัทจำกัดในไทยไม่มีข้อกำหนดทุนขั้นต่ำที่สูงมากนัก (ยกเว้นกรณีมีชาวต่างชาติถือหุ้นเกินกว่ากฎหมายกำหนดหรือกรณีขอใบอนุญาตบางประเภท) อย่างไรก็ตาม ทุนจดทะเบียนควรมีความเหมาะสมกับลักษณะธุรกิจ และ ทุกครั้งที่มีการชำระค่าหุ้น ผู้ถือหุ้นต้องชำระค่าหุ้นไม่น้อยกว่า 25% ของมูลค่าหุ้นที่จอง ในช่วงจัดตั้งบริษัท (ตามที่กฎหมายกำหนดในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์) ทั้งนี้ การมีทุนจดทะเบียนที่น่าเชื่อถือยังเป็นประโยชน์ต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของธุรกิจอีกด้วย
ขั้นตอนการจดทะเบียน: การจดทะเบียนบริษัทเริ่มจากการจองชื่อบริษัทไม่ให้ซ้ำกับรายชื่อที่มีอยู่แล้ว จากนั้นจัดทำและยื่น หนังสือบริคณห์สนธิ (Memorandum of Association) ที่ระบุชื่อบริษัท วัตถุประสงค์ ที่ตั้ง สำนักงานใหญ่ ทุนจดทะเบียน และข้อมูลผู้ก่อการ ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เมื่อได้รับการอนุมัติชื่อและตรวจสอบเอกสารแล้ว ผู้ก่อการจะจัดประชุมจัดตั้งบริษัทเพื่อแต่งตั้งกรรมการและรับรองข้อบังคับบริษัท เมื่อประชุมจัดตั้งเสร็จสิ้น กรรมการที่ได้รับแต่งตั้งจะนำรายงานการประชุมและเอกสารที่เกี่ยวข้องไปยื่นจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ธุรกิจจะถือว่าเป็นนิติบุคคลสมบูรณ์เมื่อได้รับใบสำคัญการจดทะเบียนบริษัทเรียบร้อยแล้ว
สำนักงานตัวแทนต่างชาติ: สำหรับบริษัทต่างชาติที่ต้องการเข้ามาตั้งฐานธุรกิจในไทยโดยไม่ถึงกับจัดตั้งเป็นบริษัทสัญชาติไทยเต็มรูปแบบ อาจเลือกจัดตั้ง “สำนักงานตัวแทน” (Representative Office) ซึ่งเป็นหน่วยธุรกิจที่บริษัทแม่ในต่างประเทศจัดตั้งขึ้นในไทยเพื่อทำกิจการบางอย่าง เช่น สำรวจข้อมูลตลาดหรือประสานงาน โดยสำนักงานตัวแทนจะ ไม่ได้รับอนุญาตให้หารายได้หรือรับชำระค่าสินค้าบริการในประเทศไทย (ทำหน้าที่เป็นผู้แทนประสานงานเท่านั้น) การจัดตั้งสำนักงานตัวแทนต่างชาติต้องจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกฎหมายกำหนดให้มี ทุนโอนเข้ามาเพื่อใช้ดำเนินการขั้นต่ำ 2 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 เป็นต้นมา การเปิดสำนักงานตัวแทนได้รับการยกเว้นไม่ต้องขอ “ใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว” ภายใต้ พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 โดยให้เพียงแค่ยื่นจดแจ้งต่อกระทรวงพาณิชย์เท่านั้น ซึ่งช่วยลดขั้นตอนความยุ่งยากลงไปมาก
ทะเบียนพาณิชย์: สำหรับผู้ประกอบการรายย่อยหรือกิจการเจ้าของคนเดียว (sole proprietorship) ที่อาจยังไม่พร้อมจดทะเบียนในรูปบริษัท กฎหมายไทยกำหนดให้ธุรกิจการค้าทั่วไปต้องจดทะเบียนพาณิชย์กับสำนักงานเขตหรือเทศบาลในท้องที่ที่ประกอบกิจการเพื่อแสดงตัวตนของกิจการตามกฎหมาย (ได้ใบทะเบียนพาณิชย์หรือที่เรียกว่า “ใบทะเบียนการค้า”) การจดทะเบียนพาณิชย์นี้เป็นขั้นตอนพื้นฐานที่ไม่ซับซ้อนและมีค่าธรรมเนียมต่ำ ซึ่งควรดำเนินการภายใน 30 วันนับแต่เริ่มประกอบกิจการ การมีทะเบียนพาณิชย์จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ธุรกิจและเป็นหลักฐานสำคัญในการดำเนินงานด้านภาษีด้วย
กฎหมายบริษัทและกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่เกี่ยวข้อง
เมื่อจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทแล้ว ผู้ประกอบการควรทราบถึง บทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยบริษัท และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจการของนิติบุคคล สิ่งสำคัญที่ต้องปฏิบัติตาม ได้แก่ การจัดทำ ตราสารหรือเอกสารหลักของบริษัท เช่น ข้อบังคับบริษัท ทะเบียนผู้ถือหุ้น ทะเบียนกรรมการ และหนังสือรับรองต่าง ๆ ให้ถูกต้องครบถ้วน รวมถึงต้องมี ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ที่จดทะเบียนไว้ชัดเจน ซึ่งอาจใช้เป็นสถานที่ติดต่อและรับส่งเอกสารราชการต่าง ๆ
การบริหารจัดการและหน้าที่กรรมการ: บริษัทจำกัดจะมี คณะกรรมการบริษัท ซึ่งโดยทั่วไปประกอบด้วยกรรมการหนึ่งคนขึ้นไป (แล้วแต่ที่ระบุในข้อบังคับหรือที่ประชุมผู้ถือหุ้นแต่งตั้ง) หน้าที่ของกรรมการถูกกำหนดไว้ตามกฎหมาย เช่น ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวังและซื่อสัตย์สุจริตต่อบริษัท (fiduciary duty) หากกรรมการกระทำการใด ๆ โดยทุจริตหรือฝ่าฝืนหน้าที่จนก่อให้เกิดความเสียหายต่อบริษัท กรรมการอาจต้องรับผิดทั้งทางแพ่งและอาจมีความผิดทางอาญาในบางกรณี นอกจากนี้ กฎหมายกำหนดให้กรรมการต้องจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปีอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อรับรองงบการเงินและเรื่องสำคัญ เช่น การจ่ายเงินปันผลหรือการแต่งตั้งผู้สอบบัญชี ทั้งนี้ การประชุมคณะกรรมการบริษัทเองก็สามารถทำได้อย่างสะดวกขึ้นด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน เนื่องจากกฎหมายปัจจุบันยอมรับให้สามารถจัดการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้ (ตามพระราชกฤษฎีกาการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2563) ซึ่งเอื้อให้กรรมการที่อยู่ต่างสถานที่สามารถเข้าร่วมประชุมและนับเป็นองค์ประชุมได้
การจัดทำบัญชีและภาษีอากร: บริษัททุกแห่งมีหน้าที่ต้องจัดทำบัญชีและงบการเงินตามมาตรฐานการบัญชีที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งต้องยื่นงบการเงินต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าทุกปี นอกจากนี้ เมื่อประกอบกิจการและมีรายได้ บริษัทต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หากเข้าข่ายตามเกณฑ์ (มียอดขายเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี) และต้องนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคลต่อกรมสรรพากร (อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลปัจจุบันอยู่ที่ 20% ของกำไรสุทธิ แต่สำหรับ SMEs ที่มีกำไรไม่มากอาจได้รับลดหย่อนอัตราภาษีตามเงื่อนไขของสรรพากร) การปฏิบัติตามกฎหมายภาษีอย่างถูกต้องจะช่วยให้ธุรกิจหลีกเลี่ยงค่าปรับและความผิดทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นได้
การปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน: หากธุรกิจมีการจ้างพนักงาน ผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานและกฎหมายประกันสังคม เช่น จัดทำสัญญาจ้างที่เป็นธรรม ไม่จ้างงานเยาวชนต่ำกว่าเกณฑ์ ไม่เลือกปฏิบัติ จัดเวลาทำงานและเวลาพักตามที่กฎหมายกำหนด ตลอดจนต้องส่งเงินสมทบประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทนตามอัตราที่กำหนดเป็นประจำ การไม่ปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานอาจส่งผลให้ถูกฟ้องร้องหรือถูกปรับจากหน่วยงานภาครัฐ ดังนั้นผู้ประกอบการควรศึกษาข้อกำหนดเหล่านี้ด้วย

การลงทุนของชาวต่างชาติในไทย
ประเทศไทยมีกฎหมายเฉพาะที่ใช้ควบคุมการประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติคือ พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 (Foreign Business Act 1999) กฎหมายฉบับนี้กำหนดนิยามว่า “คนต่างด้าว” ได้แก่ บุคคลธรรมดาที่ไม่มีสัญชาติไทย นิติบุคคลที่จดทะเบียนในต่างประเทศ รวมถึง นิติบุคคลที่จดทะเบียนในไทยแต่มีสัดส่วนหุ้นที่คนต่างด้าวถืออยู่ตั้งแต่ 50% ขึ้นไป ก็จะถือว่าเป็น “นิติบุคคลต่างด้าว” ตามกฎหมายนี้ด้วยวัตถุประสงค์หลักของ พ.ร.บ. นี้เพื่อสงวนธุรกิจบางประเภทไว้ให้คนไทยหรือจำกัดการเข้ามาของทุนต่างชาติในสาขาที่อาจกระทบความมั่นคงหรือเศรษฐกิจของประเทศ
บัญชีแนบท้าย 3 บัญชี: พ.ร.บ. คนต่างด้าวฯ ได้แบ่งประเภทกิจการต้องห้ามและจำกัดสำหรับคนต่างด้าวออกเป็น 3 บัญชี ได้แก่ บัญชีหนึ่ง ธุรกิจต้องห้ามไม่ให้คนต่างด้าวประกอบกิจการโดยเด็ดขาด (เช่น การทำนา ทำไร่ ทำสวน เลี้ยงสัตว์ ป่าไม้ และการซื้อขายที่ดิน เป็นต้น) บัญชีสอง ธุรกิจที่คนต่างด้าวจะทำได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ (เช่น ธุรกิจเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ ศิลปวัฒนธรรม หรืองานฝีมือท้องถิ่น) และ บัญชีสาม ธุรกิจที่คนไทยยังไม่พร้อมแข่งกับต่างชาติ ซึ่งคนต่างด้าวจะทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ (บัญชีสามนี้ครอบคลุมกิจการหลากหลาย เช่น บริการต่าง ๆ การก่อสร้าง โรงแรม การขายอสังหาริมทรัพย์บางประเภท เป็นต้น)
ใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (Foreign Business License): หากนักลงทุนต่างชาติต้องการถือหุ้นเกิน 49% และประกอบธุรกิจที่อยู่ในบัญชีสองหรือบัญชีสาม จะต้องยื่นขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ใบอนุญาต FBL) จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยจะมีการพิจารณาคำขอตามหลักเกณฑ์ว่าธุรกิจนั้น ๆ มีความจำเป็นและเป็นประโยชน์ต่อประเทศเพียงใด การขอใบอนุญาตนี้ค่อนข้างใช้เวลา (หลายเดือนขึ้นไป) และผู้ประกอบการต้องเตรียมข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับธุรกิจ ผลประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับ เป้าหมายการจ้างงานคนไทย เป็นต้น เพื่อประกอบการพิจารณา ทั้งนี้ หากได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) หรือได้รับสิทธิพิเศษตามความตกลงระหว่างประเทศ (เช่น สนธิสัญญามิตรภาพไทย–สหรัฐฯ หรือ สนธิสัญญาเขตการค้าเสรีอื่น ๆ) ธุรกิจต่างชาติอาจได้รับการยกเว้นหรือผ่อนผันไม่ต้องขอใบอนุญาต FBL ในบางกรณี
บทลงโทษหากฝ่าฝืน: กฎหมายคนต่างด้าวฯ มีบทลงโทษที่ค่อนข้างรุนแรงหากฝ่าฝืน เช่น หากคนต่างด้าวประกอบธุรกิจต้องห้ามหรือประกอบธุรกิจที่ต้องขออนุญาตโดยไม่รับอนุญาต โทษสูงสุดคือ จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 100,000 ถึง 1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลมีอำนาจสั่งให้เลิกกิจการหรือเลิกความเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทนั้น ๆ ได้ทันที นอกจากนี้ หากนิติบุคคลไทยรายใดมีการกระทำการช่วยเหลือให้คนต่างด้าวหลีกเลี่ยงกฎหมาย (เช่น การถือหุ้นแทนหรือ “นอมินี”) กรรมการ ผู้ถือหุ้น หรือผู้กระทำผิดที่เป็นคนไทยก็อาจถูกดำเนินคดีอาญาได้เช่นกัน ปัจจุบันหน่วยงานรัฐให้ความสำคัญกับการปราบปราม การใช้นอมินีคนไทยถือหุ้นแทนต่างชาติ อย่างจริงจัง เห็นได้จากกรณีตัวอย่างที่จังหวัดภูเก็ตซึ่งมีการดำเนินคดีกับคนไทย 23 รายที่รับจ้างถือหุ้นแทนนักลงทุนต่างชาติในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ต้องโทษปรับรายละ 200,000 บาท และโทษจำคุก 2 ปี (รอลงอาญา) พร้อมทั้งศาลมีคำสั่งให้จดทะเบียนเลิกบริษัทที่เป็นนอมินีนั้นทันที กรณีดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าการใช้นอมินีเป็นความผิดร้ายแรงและมีบทลงโทษจริงตามกฎหมายไทย
กฎหมายเฉพาะสำหรับธุรกิจเฉพาะทางที่สำคัญ
ประเทศไทยมีกฎหมายเฉพาะหลายฉบับที่ควบคุมธุรกิจในสาขาอุตสาหกรรมต่าง ๆ ผู้ประกอบการควรทราบข้อกำหนดพิเศษเหล่านี้เพื่อนำไปปฏิบัติให้ถูกต้อง ในส่วนนี้จะกล่าวถึงกฎหมายที่สำคัญสำหรับธุรกิจในกลุ่มที่พบได้บ่อย ได้แก่ ธุรกิจโรงงานอุตสาหกรรม ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจด้านโรงแรม/การท่องเที่ยว
ธุรกิจโรงงานอุตสาหกรรม
พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 (และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2562): ธุรกิจที่เป็นการตั้งโรงงานอุตสาหกรรมจะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ พ.ร.บ.โรงงาน ซึ่งกำหนดให้โรงงานที่ใช้เครื่องจักรมีกำลังรวมตั้งแต่ 50 แรงม้าขึ้นไป หรือมีคนงานมากกว่า 50 คนขึ้นไป ต้องขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานก่อนดำเนินการ เดิมทีนั้นโรงงานขนาดเล็กที่มีเครื่องจักรเกิน 5 แรงม้าหรือมีคนงานตั้งแต่ 7 คนก็ถือเป็นโรงงานที่ต้องขออนุญาตแล้ว แต่กฎหมายใหม่ได้ปรับเพิ่มเกณฑ์ให้สูงขึ้นเป็น 50 แรงม้าหรือ 50 คนงาน ทำให้กิจการขนาดย่อมหลายประเภทไม่ต้องเข้าเกณฑ์โรงงานตามกฎหมายนี้อีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้โรงงานประมาณ 60,000 แห่งทั่วประเทศที่เคยอยู่ภายใต้การกำกับของ พ.ร.บ. โรงงาน หลุดพ้นจากนิยาม “โรงงาน” ตามกฎหมายไป แต่ทั้งนี้ แม้ไม่เข้าเกณฑ์โรงงาน ผู้ประกอบการก็ยังต้องปฏิบัติตามข้อบังคับท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น ข้อกำหนดตามกฎหมายผังเมืองหรือพระราชบัญญัติการสาธารณสุข ที่อาจยังมีผลบังคับใช้กับสถานประกอบการเพื่อควบคุมมิให้เกิดมลพิษหรือความเดือดร้อนรำคาญในชุมชน
ประเภทของโรงงานและใบอนุญาต: กฎหมายโรงงานแบ่งโรงงานออกเป็น 3 ประเภทตามระดับผลกระทบและขนาดของกิจการ โรงงานประเภทที่ 1 คือโรงงานขนาดเล็กที่ไม่เข้าข่ายต้องขออนุญาต (เพียงแต่ต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวงอย่างเคร่งครัด), โรงงานประเภทที่ 2 คือโรงงานขนาดกลางที่ไม่ต้องขอใบอนุญาตแต่ต้องแจ้งให้หน่วยงานทราบก่อนประกอบการ, และ โรงงานประเภทที่ 3 คือโรงงานขนาดใหญ่หรืออุตสาหกรรมหนักที่ต้องขอใบอนุญาต (ที่มักเรียกว่า ใบ ร.ง.4) จากกรมโรงงานอุตสาหกรรมก่อนสร้างและดำเนินการโรงงาน หากกิจการของผู้ประกอบการเข้าเกณฑ์ประเภทที่ 3 จะต้องเตรียมยื่นคำขอพร้อมรายงานรายละเอียดเกี่ยวกับเครื่องจักร กระบวนการผลิต และมาตรการป้องกันอันตรายต่าง ๆ ให้ครบถ้วน การได้รับใบอนุญาต ร.ง.4 จะอนุญาตให้เริ่มประกอบกิจการโรงงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ไม่มีการต่ออายุใบอนุญาต: การแก้ไขกฎหมายโรงงานในปี 2562 ได้ ยกเลิกกำหนดอายุใบอนุญาตโรงงาน ที่เคยกำหนดให้หมดอายุทุก 5 ปี ดังนั้นปัจจุบันเมื่อได้รับใบอนุญาต ร.ง.4 แล้ว ผู้ประกอบการสามารถใช้ใบอนุญาตนั้นต่อเนื่องได้ยาวจนกว่าจะเลิกประกอบกิจการหรือต้องโอนเปลี่ยนชื่อผู้ประกอบการ โดยไม่ต้องยื่นขอต่ออายุใบอนุญาตเป็นช่วง ๆ เหมือนแต่ก่อน (ทั้งนี้ยังคงต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขในใบอนุญาตและยอมรับการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ตามปกติ)
กฎหมายสิ่งแวดล้อม: โรงงานอุตสาหกรรมต้องปฏิบัติตามกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะ พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และกฎหมายลำดับรอง ซึ่งกำหนดให้โรงงานบางประเภทที่มีความเสี่ยงก่อมลพิษสูงหรือใช้วัตถุอันตรายต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และได้รับความเห็นชอบก่อนเริ่มดำเนินการ นอกจากนี้ ทุกโรงงานต้องควบคุมการปล่อยน้ำเสีย อากาศเสีย และของเสียอันตรายให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงทรัพยากรกำหนด หากฝ่าฝืนปล่อยของเสียเกินมาตรฐานหรือสร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม บริษัทและกรรมการผู้รับผิดชอบอาจถูกปรับเป็นเงินจำนวนมาก และในกรณีร้ายแรงหน่วยงานรัฐอาจสั่งหยุดดำเนินการชั่วคราวหรือเพิกถอนใบอนุญาตโรงงานได้
การอนุญาตก่อสร้างอาคารโรงงาน: นอกจากใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานแล้ว หากผู้ประกอบการจะทำการก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารเพื่อใช้เป็นโรงงาน จะต้องยื่นขอใบอนุญาตก่อสร้างอาคารตาม พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก่อน การแก้ไข พ.ร.บ. โรงงานในปี 2562 ได้ผ่อนปรนขั้นตอนบางอย่าง เช่น การก่อสร้างตัวอาคารโรงงานไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของการตั้งโรงงานตามกฎหมายโรงงาน (คำว่า “การก่อสร้างอาคาร” ถูกตัดออกจากนิยามการตั้งโรงงาน) ทำให้สามารถก่อสร้างอาคารไปพร้อม ๆ กับการเตรียมขอใบอนุญาต ร.ง.4 ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย แต่ถึงอย่างไรผู้ประกอบการยังต้องปฏิบัติตามกฎหมายอาคารโดยเคร่งครัด ตั้งแต่การออกแบบอาคารให้ถูกต้องตามมาตรฐาน (เช่น ระบบป้องกันอัคคีภัย การระบายอากาศ ฯลฯ) และต้องให้วิศวกร/สถาปนิกลงนามรับรองแบบ ก่อนที่หน่วยงานท้องถิ่นจะอนุมัติใบอนุญาตก่อสร้าง เมื่อสร้างเสร็จต้องแจ้งขอใบรับรองการก่อสร้าง (ใบอนุญาตใช้อาคาร หรือ อ.6) ให้เรียบร้อย จึงจะสามารถใช้อาคารเพื่อประกอบกิจการโรงงานได้อย่างถูกต้อง
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในที่นี้ครอบคลุมถึงการพัฒนาโครงการที่ดิน บ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน เป็นต้น ประเด็นด้านกฎหมายที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ควรให้ความสำคัญ มีดังนี้:
- การถือครองที่ดินและสัดส่วนคนต่างชาติ: กฎหมายที่ดินของไทยห้ามคนต่างด้าวถือครองที่ดิน เว้นแต่ในกรณีพิเศษบางกรณี เช่น ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีตามประมวลกฎหมายที่ดิน (กรณีลงทุนไม่น้อยกว่า 40 ล้านบาทในกิจการที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ) แต่โดยทั่วไปแล้วนักลงทุนต่างชาติไม่สามารถถือครองที่ดินในชื่อของตนเองได้ นอกจากนี้ ธุรกิจเกี่ยวกับที่ดิน (เช่น ซื้อขายที่ดินหรือพัฒนาที่ดินขาย) ยังเป็นธุรกิจต้องห้ามในบัญชีหนึ่งของ พ.ร.บ. คนต่างด้าวฯ ที่ไม่อนุญาตให้ต่างด้าวทำกิจการนี้โดยตรง ดังนั้น บริษัทพัฒนาอสังหาฯ ที่มีชาวต่างชาติถือหุ้นเกิน 49% จะไม่สามารถประกอบธุรกิจซื้อขายที่ดินหรือบ้านจัดสรรได้โดยไม่ขัดกฎหมาย ผู้ประกอบการจึงต้องวางโครงสร้างการลงทุนให้สอดคล้อง เช่น อาจใช้วิธีให้ผู้ถือหุ้นฝ่ายไทยถือหุ้นส่วนใหญ่และฝ่ายต่างชาติถือหุ้นส่วนน้อย (แต่สามารถทำข้อตกลงผู้ถือหุ้นเพื่อป้องกันสิทธิประโยชน์ของฝ่ายต่างชาติ) หรือเลือกลงทุนในรูปแบบอื่น เช่น การลงทุนผ่านกองทรัสต์หรือกองทุนอสังหาฯ แทน
- การถือครองกรรมสิทธิ์ห้องชุด: สำหรับ คอนโดมิเนียม กฎหมายไทยผ่อนปรนให้คนต่างด้าวสามารถถือครองห้องชุดได้ ไม่เกิน 49% ของพื้นที่ขายรวมทั้งหมดในอาคารชุดนั้น (ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด) ดังนั้นโครงการคอนโดมิเนียมสามารถเปิดขายให้ผู้ซื้อชาวต่างชาติได้ในสัดส่วนที่จำกัด หากผู้ประกอบการมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นชาวต่างชาติ ควรวางแผนการขายให้สอดคล้องกับเพดาน 49% นี้ด้วย
- การจัดสรรที่ดินและใบอนุญาตที่เกี่ยวข้อง: ผู้ประกอบการที่พัฒนาโครงการบ้านจัดสรรหรือหมู่บ้านจัดสรร ต้องปฏิบัติตาม พระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 ซึ่งกำหนดให้ต้องขอใบอนุญาตจัดสรรที่ดินจากคณะกรรมการจัดสรรที่ดินจังหวัด ก่อนทำการแบ่งแยกแปลงที่ดินเพื่อขายพร้อมสิ่งปลูกสร้าง นอกจากนี้ยังต้องจัดทำแผนผังโครงการ สาธารณูปโภค และข้อกำหนดการดูแลรักษาพื้นที่ส่วนกลางตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งใบอนุญาตจัดสรรที่ดินนี้จะให้เฉพาะแก่ผู้ประกอบการที่มีคุณสมบัติพร้อมและมีหลักประกันว่าโครงการจะแล้วเสร็จตามแผน หากฝ่าฝืนขายที่ดินจัดสรรโดยไม่รับอนุญาต มีโทษทั้งจำและปรับ
- ใบอนุญาตก่อสร้างและ EIA: การก่อสร้างโครงการอสังหาฯ ทุกประเภท (บ้านจัดสรร อาคารชุด อาคารพาณิชย์ ฯลฯ) ต้องยื่นขอใบอนุญาตก่อสร้างต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตาม พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร เช่นเดียวกับกรณีโรงงานข้างต้น ยิ่งไปกว่านั้น โครงการขนาดใหญ่บางประเภทต้องจัดทำรายงาน EIA เช่น อาคารชุดหรือบ้านจัดสรรที่มีขนาดตั้งแต่ 80 ห้อง/ยูนิตขึ้นไป หรือมีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 4,000 ตารางเมตรขึ้นไป จะถือเป็นโครงการที่ต้องจัดทำ EIA และได้รับความเห็นชอบก่อนดำเนินการก่อสร้าง โดยกระบวนการจัดทำ EIA อาจใช้เวลาหลายเดือนถึงเป็นปี ผู้ประกอบการจึงควรวางแผนเผื่อเวลาสำหรับขั้นตอนนี้
- การใช้นอมินีและความเสี่ยงทางกฎหมาย: ดังที่กล่าวแล้ว กฎหมายไทยเข้มงวดเรื่องการป้องกันคนต่างด้าวใช้นอมินีในการถือครองที่ดินหรือทำธุรกิจอสังหาฯ ผู้ประกอบการควรหลีกเลี่ยงการจ้างคนไทยมาถือหุ้นแทนในลักษณะนอมินี เพราะหากถูกตรวจพบจะมีความผิดทั้งผู้จ้างวานและตัวนอมินีเอง ดังกรณีตัวอย่างในศาลที่ได้กล่าวถึงข้างต้นซึ่งศาลได้สั่งลงโทษและให้เลิกกิจการไปแล้ว เพื่อความปลอดภัย ผู้ลงทุนต่างชาติที่ต้องการทำธุรกิจอสังหาฯ ควรปรึกษาทนายความเพื่อหาโครงสร้างการลงทุนที่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น การร่วมทุนกับผู้ถือหุ้นไทยที่ไว้ใจได้ การเช่าที่ดินระยะยาว 30 ปี (ซึ่งกฎหมายไทยอนุญาตให้ต่างชาติเช่าอสังหาฯ ได้สูงสุด 30 ปีและต่ออายุได้) หรือการใช้สิทธิการเช่าซื้อ/สิทธิเหนือพื้นดิน (superficies) ฯลฯ วิธีเหล่านี้สามารถลดความเสี่ยงด้านกฎหมายและยังคงบรรลุวัตถุประสงค์ทางธุรกิจได้โดยไม่ผิดกฎหมาย
ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว
ธุรกิจด้านการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวเนื่อง เช่น โรงแรม ที่พัก รีสอร์ท ธุรกิจนำเที่ยว บริษัททัวร์ เป็นต้น เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับความนิยมในเขตกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวใหญ่ ๆ อย่างพัทยาหรือภูเก็ต ซึ่งก็มีกฎหมายเฉพาะที่ผู้ประกอบการต้องทราบดังนี้:
- พระราชบัญญัติโรงแรม พ.ศ. 2547: การประกอบกิจการโรงแรม (ให้บริการที่พักชั่วคราวเป็นการค้ากับนักท่องเที่ยวหรือประชาชน) ต้องได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมตาม พ.ร.บ. โรงแรมฯ โดยยื่นขอต่อ นายทะเบียนโรงแรมประจำจังหวัดหรือกรุงเทพมหานคร (ปลัดจังหวัดหรือผู้อำนวยการเขต แล้วแต่กรณี) โรงแรมจะเปิดดำเนินการได้ต่อเมื่อได้รับใบอนุญาตนี้เท่านั้น ข้อกำหนดสำคัญในการขอใบอนุญาตโรงแรม เช่น สถานที่ตั้งต้องไม่ขัดต่อผังเมือง ตัวอาคารและการออกแบบต้องเป็นไปตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด (เช่น มีระบบความปลอดภัย อุปกรณ์ดับเพลิง ทางหนีไฟที่ได้มาตรฐาน) มีพื้นที่จอดรถเพียงพอ ฯลฯ หากเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ยังต้องจัดให้มีผู้จัดการโรงแรมที่ผ่านการอบรมตามหลักสูตรที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯ รับรองมาประจำการ ในขั้นตอนขอใบอนุญาตจะมีคณะกรรมการจากหลายหน่วยงานตรวจสอบสถานที่และความพร้อมของอาคาร เมื่อผ่านการตรวจแล้วจึงจะออกใบอนุญาตให้
- การดัดแปลงอาคารมาเป็นโรงแรม: ผู้ประกอบการบางรายอาจใช้วิธีดัดแปลงอาคารพาณิชย์ บ้านพัก หรืออาคารอื่น ๆ มาทำเป็นที่พักลักษณะโฮสเทลหรือเกสต์เฮาส์ กรณีนี้จะต้องดำเนินการให้ถูกต้องโดยยื่นขออนุญาต ดัดแปลงเปลี่ยนการใช้ อาคารตามกฎหมายควบคุมอาคาร และปรับปรุงอาคารให้ได้มาตรฐานโรงแรม (เช่น ติดตั้งระบบป้องกันอัคคีภัย เพิ่มจำนวนห้องน้ำ ฯลฯ) จากนั้นจึงยื่นขอใบอนุญาตโรงแรมต่อไป หากดำเนินการโดยพลการไม่ขออนุญาต เช่น เปิดโฮสเทล/เกสต์เฮาส์โดยไม่มีใบอนุญาตโรงแรม ผู้ประกอบการจะมีความผิดตาม พ.ร.บ. โรงแรม ต้องระวางโทษปรับสูงสุดถึง 20,000 บาท และปรับอีกวันละไม่เกิน 10,000 บาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนเปิดกิจการ อีกทั้งอาจมีความผิดตามกฎหมายควบคุมอาคารและกฎหมายคนเข้าเมือง (กรณีไม่รายงานคนต่างด้าวเข้าพักตามมาตรา 38 ของ พ.ร.บ. คนเข้าเมือง) อีกด้วย
- โรงแรมขนาดเล็กและข้อยกเว้นบางประการ: ภายหลังการออกกฎหมายโรงแรม มีผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมากที่ดำเนินธุรกิจห้องพักให้เช้าระยะสั้นโดยไม่ได้รับอนุญาต รัฐบาลได้ตระหนักถึงปัญหานี้จึงเคยออกกฎกระทรวงผ่อนผันในปี 2559 ให้ที่พักขนาดเล็กที่มี จำนวนห้องพักไม่เกิน 4 ห้อง และรองรับผู้เข้าพักรวมกันไม่เกิน 20 คน และอาคารนั้นเจ้าของใช้เป็นที่อยู่อาศัยด้วย สามารถจดทะเบียนเป็น “ที่พักที่ไม่เป็นโรงแรม” กับทางราชการเพื่อดำเนินธุรกิจต่อไปได้ชั่วคราว (โดยต้องมีมาตรฐานด้านความปลอดภัยบางประการ) อย่างไรก็ตาม กฎกระทรวงดังกล่าวเป็นเพียงการผ่อนผันชั่วคราว และปัจจุบันทางการยังคงเร่งรัดให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบใบอนุญาตอย่างถูกต้อง ผู้ประกอบการโรงแรมขนาดเล็กจึงควรปรึกษาหน่วยงานท้องถิ่นถึงแนวทางที่เหมาะสมในการทำให้ธุรกิจถูกกฎหมาย
- โครงการโรงแรมขนาดใหญ่และ EIA: เช่นเดียวกับโครงการอสังหาฯ ขนาดใหญ่ โรงแรมหรือรีสอร์ตที่มีจำนวนห้องพักตั้งแต่ 80 ห้องขึ้นไป หรือพื้นที่ใช้สอยรวมตั้งแต่ 4,000 ตารางเมตรขึ้นไป ต้องจัดทำรายงาน EIA ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมก่อนที่จะได้รับอนุญาตก่อสร้าง ขั้นตอน EIA สำหรับโรงแรมจะครอบคลุมการประเมินผลกระทบด้านการจราจร ปริมาณน้ำทิ้ง เสียง แสง และผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบ ซึ่งการพิจารณารายงาน EIA อาจกินเวลาหลายเดือนจนถึงปี หากผู้ประกอบการมีโครงการขนาดใหญ่จึงควรเตรียมการล่วงหน้าในส่วนนี้
- พระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551: ธุรกิจบริการนำเที่ยว (เช่น บริษัททัวร์ จัดแพ็กเกจทัวร์ นำเที่ยวทัวร์ท้องถิ่น) จะอยู่ภายใต้การกำกับของ พ.ร.บ. ธุรกิจนำเที่ยวฯ โดยผู้ที่จะประกอบธุรกิจนี้ต้องขอ ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว จากนายทะเบียนธุรกิจนำเที่ยว (กรมการท่องเที่ยว) คุณสมบัติที่สำคัญสำหรับบริษัททัวร์คือ ต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลในประเทศไทย และ มีผู้ถือหุ้นเป็นคนไทยอย่างน้อย 51% ของทุนจดทะเบียน รวมทั้งกรรมการอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของบริษัทต้องมีสัญชาติไทยตามที่กฎหมายกำหนด สาเหตุที่ต้องมีเงื่อนไขนี้ก็เพื่อสงวนอาชีพมัคคุเทศก์และธุรกิจทัวร์ให้คนไทยมีส่วนร่วมอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง ไม่เช่นนั้นแล้วคนต่างชาติจะไม่สามารถขอรับใบอนุญาตธุรกิจนำเที่ยวได้ (เว้นแต่ร่วมทุนกับคนไทยตามสัดส่วนที่กฎหมายกำหนด) นอกจากนี้ บริษัทยังต้องวางเงินประกันตามที่กฎหมายกำหนดและจัดให้มีการทำประกันภัยสำหรับนักท่องเที่ยวตามจำนวนที่กำหนดไว้ด้วย
- การลงทุนของต่างชาติในธุรกิจโรงแรม/ท่องเที่ยว: นักธุรกิจต่างชาติที่สนใจลงทุนในธุรกิจโรงแรมหรือบริษัททัวร์ในไทย สามารถทำได้แต่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการถือหุ้นตามกฎหมาย กล่าวคือ หากต้องการถือหุ้นเกิน 49% ในธุรกิจโรงแรมซึ่งเป็นธุรกิจในบัญชีสามของ พ.ร.บ. คนต่างด้าวฯ ก็จำเป็นต้องขอใบอนุญาต FBL เสียก่อน (หากไม่ได้รับการส่งเสริม BOI) หรือเลือกที่จะถือหุ้นไม่เกิน 49% แล้วให้ผู้ถือหุ้นไทยถือเสียงข้างมากแทน ทั้งนี้ บางกรณีอาจมีการปรับโครงสร้างหุ้นเป็นหุ้นบุริมสิทธิ (ที่ให้อำนาจควบคุมแก่ฝ่ายต่างชาติแต่ยังคงถือหุ้นส่วนน้อย) อย่างถูกต้องตามกฎหมายได้ แต่ต้องระมัดระวังไม่ให้เข้าข่ายเป็นนอมินี นอกจากนี้ ทุนจดทะเบียนขั้นต่ำสำหรับธุรกิจโรงแรม ตามข้อกำหนดของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะอยู่ที่ ประมาณ 3 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าธุรกิจทั่วไปเล็กน้อย เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ประกอบการมีความพร้อมทางการเงิน
ในกรณีธุรกิจโรงแรมขนาดใหญ่ ผู้ประกอบการต่างชาติอาจใช้แนวทาง ร่วมทุนกับนักลงทุนไทย โดยตั้งบริษัทถือครองที่ดินและอาคารโรงแรมแยกต่างหากที่ผู้ลงทุนไทยถือหุ้นข้างมาก ในขณะที่บริษัทที่จะเข้ามาบริหารจัดการโรงแรมอาจเป็นอีกบริษัทหนึ่ง (ซึ่งต่างชาติถือหุ้นได้มากกว่าแต่ไม่ได้ครอบครองที่ดิน) รูปแบบนี้มักใช้เพื่อให้การลงทุนสอดคล้องกับกฎหมายที่ดินและลดข้อจำกัดด้านการถือครองอสังหาฯ ของคนต่างชาติ ทั้งนี้ไม่ว่าจะใช้โครงสร้างแบบใด คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินการทุกขั้นตอนเป็นไปอย่างถูกต้อง

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q: จำเป็นต้องมีหุ้นส่วนคนไทยหรือไม่ หากชาวต่างชาติอยากเริ่มธุรกิจในไทย?
A: ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจและลักษณะการลงทุน หากเป็นธุรกิจทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในบัญชีจำกัดของ พ.ร.บ. คนต่างด้าว (เช่น ธุรกิจผลิตสินค้าเฉพาะทางบางอย่างที่ไม่ถูกสงวน) ชาวต่างชาติสามารถถือหุ้น 100% ผ่านการจัดตั้งบริษัทจำกัดในไทยได้โดยไม่ต้องมีหุ้นส่วนคนไทย แต่ถ้าธุรกิจนั้นอยู่ในประเภทที่กฎหมายสงวนไว้ (เช่น ธุรกิจบริการส่วนใหญ่ ธุรกิจท่องเที่ยว หรืออื่น ๆ ในบัญชีสอง/สาม) การมีหุ้นส่วนคนไทยถือหุ้นอย่างน้อย 51% จะทำให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่นโดยไม่ต้องขอใบอนุญาตต่างด้าว อีกทางเลือกหนึ่งคือนักลงทุนต่างชาติยื่นขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (FBL) เพื่อถือหุ้นเกินกว่ากฎหมายกำหนด แต่ขั้นตอนนี้มีความซับซ้อนและใช้เวลานาน จึงมักนิยมร่วมทุนกับหุ้นส่วนไทยมากกว่า
Q: การจดทะเบียนบริษัทในไทยใช้เวลานานเท่าใด และมีค่าใช้จ่ายเท่าไร?
A: โดยทั่วไปขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัทในไทยสามารถดำเนินการเสร็จได้ภายในประมาณ 3-7 วันทำการ หากเตรียมเอกสารครบถ้วนและถูกต้อง ชื่อบริษัทผ่านการอนุมัติ และผู้ก่อการ/กรรมการสามารถลงนามเอกสารได้รวดเร็ว กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ปรับปรุงระบบให้บริการรวดเร็วขึ้นมาก (มีระบบจองชื่อนิติบุคคลและยื่นเอกสารออนไลน์ได้) ส่วนค่าใช้จ่ายราชการในการจดทะเบียนบริษัทจะขึ้นอยู่กับทุนจดทะเบียน โดยคิดค่าธรรมเนียมประมาณ 5,500 บาทต่อทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท (ขั้นต่ำ 5,500 บาท และสูงสุดไม่เกิน 250,000 บาท) นอกจากนี้ยังมีค่าธรรมเนียมตรายาง ค่าชุดเอกสาร และค่าบริการอื่น ๆ ตามแต่กรณี รวมแล้วการจัดตั้งบริษัทในไทยถือว่ามีค่าใช้จ่ายไม่สูงมากเมื่อเทียบกับหลายประเทศ
Q: หากไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดกฎหมาย เช่น เปิดโรงแรมหรือโฮสเทลโดยไม่มีใบอนุญาต จะเกิดอะไรขึ้น?
A: การดำเนินธุรกิจโดยไม่ปฏิบัติตามกฎหมายอาจมีผลร้ายแรงได้ กรณีเปิดโรงแรม/ที่พักโดยไม่มีใบอนุญาตโรงแรม ผู้ประกอบการจะมีความผิดตาม พ.ร.บ. โรงแรม ต้องระวางโทษปรับและอาจถูกคำสั่งปิดกิจการ นอกจากนี้ยังอาจเข้าข่ายผิดกฎหมายควบคุมอาคาร (หากมีการดัดแปลงอาคารโดยไม่ขออนุญาต) และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง (เช่น ไม่แจ้งพักคนต่างด้าวตามกฎหมายคนเข้าเมือง) ซึ่งจะมีโทษปรับอีกด้วย ตัวอย่างเช่น เจ้าของเกสต์เฮาส์ที่เปิดห้องพักให้นักท่องเที่ยวเช่ารายวันโดยไม่มีใบอนุญาตโรงแรม เคยถูกหน่วยงานรัฐลงโทษปรับและสั่งหยุดดำเนินการจนกว่าจะขออนุญาตถูกต้อง ดังนั้นทางที่ดีควรดำเนินการให้ถูกต้อง หรือปรึกษาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงวิธีทำให้ธุรกิจเข้าสู่ระบบใบอนุญาต เช่น การเข้าร่วมโครงการผ่อนผันชั่วคราว (ถ้ามี) หรือการปรับปรุงให้ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด
Q: คนต่างชาติสามารถถือครองอสังหาริมทรัพย์ในไทยได้อย่างไรบ้าง?
A: โดยหลักแล้ว คนต่างด้าวไม่สามารถถือกรรมสิทธิ์ที่ดินในไทยโดยตรง (ยกเว้นบางกรณีที่มูลค่าการลงทุนสูงและได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรี) หากต้องการซื้อบ้านพร้อมที่ดิน ชาวต่างชาติมักใช้วิธีจดทะเบียน เช่าที่ดินระยะยาว 30 ปี (และสามารถต่ออายุการเช่าได้อีก 30 ปีตามสัญญา) ส่วนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินอาจจดทะเบียนเป็นทรัพย์สินของผู้เช่า หรืออีกวิธีคือการ ถือหุ้นในบริษัทสัญชาติไทย ที่เป็นเจ้าของที่ดิน (แต่ต้องระวังเรื่องการใช้นอมินีตามที่กล่าวไป) สำหรับ ห้องชุดคอนโดมิเนียม ต่างชาติสามารถซื้อและถือกรรมสิทธิ์ในชื่อของตนเองได้ตามกฎหมายสูงสุด 49% ของพื้นที่ขายรวมของโครงการนั้นๆ ส่วน อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ เช่น อาคารสำนักงานหรือโรงงาน สามารถถือครองสิทธิ์โดยการเช่าระยะยาวหรือลงทุนผ่านรูปแบบนิติบุคคล นอกจากนี้นักลงทุนต่างชาติอาจใช้สิทธิทางกฎหมายอื่น ๆ เช่น สิทธิเหนือพื้นดิน (Superficies) หรือสิทธิการเช่าซื้อระยะยาว ขึ้นอยู่กับกรณี ทางที่ดีควรปรึกษาทนายความเพื่อเลือกวิธีการที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุด
Q: มีกฎหมายหรือโครงการส่งเสริมใดบ้างที่สนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ในไทย?
A: รัฐบาลไทยมีนโยบายและมาตรการหลายอย่างเพื่อสนับสนุน ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เช่น การจัดตั้งกองทุนสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำผ่านธนาคารของรัฐ การลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลในช่วงปีแรก ๆ ของการดำเนินธุรกิจ (SMEs ที่มีกำไรสุทธิต่ำกว่าเกณฑ์ได้รับอัตราภาษีที่ลดลงกว่าปกติ) นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานอย่าง สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ที่คอยให้คำปรึกษาและอบรมความรู้ด้านการตลาด การเงิน และกฎหมายแก่ผู้ประกอบการรายย่อย รวมถึงจัดโครงการ Matching ธุรกิจกับนักลงทุนหรือคู่ค้าทั้งในและต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม มาตรการเหล่านี้เป็นคนละส่วนกับ การปฏิบัติตามกฎหมายพื้นฐาน ที่ผู้ประกอบการ SMEs ทุกคนยังคงต้องถือปฏิบัติ เช่น การจดทะเบียนธุรกิจ การจัดทำบัญชี การเสียภาษี ฯลฯ การใช้สิทธิประโยชน์ตามโครงการส่งเสริมจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อเมื่อธุรกิจได้ดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมายพื้นฐานครบถ้วนแล้ว
การทำธุรกิจในประเทศไทยให้ประสบความสำเร็จและยั่งยืนนั้น นอกจากแผนธุรกิจที่ดีแล้ว การปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน กฎหมายธุรกิจไทยมีรายละเอียดปลีกย่อยมากมาย การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ปรึกษาเบื้องต้นฟรี โทร. 093-251-4500