พื้นที่ปฏิบัติงานของเรา
คดีครอบครัวและมรดก
ปัญหาทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวและมรดกเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนและส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการสิ้นสุดความสัมพันธ์สมรส ข้อพิพาทเกี่ยวกับทรัพย์สิน หรือการวางแผนเพื่อส่งต่อมรดกให้แก่คนรุ่นต่อไป การตัดสินใจในเรื่องเหล่านี้ต้องอาศัยความเข้าใจในข้อกฎหมายที่ถูกต้องและความรอบคอบในการดำเนินการ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ยุติธรรมและลดผลกระทบทางจิตใจให้เหลือน้อยที่สุด
ที่ JIRAWAT & ASSOCIATES LAW OFFICE เราเข้าใจถึงความซับซ้อนและความอ่อนไหวของสถานการณ์เหล่านี้ ทีมงานของเรามีความพร้อมในการให้คำแนะนำและดูแลคดีที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายครอบครัวและมรดกอย่างครบวงจร ตั้งแต่การเจรจาไปจนถึงการดำเนินคดีในชั้นศาล โดยครอบคลุมประเด็นต่างๆ ดังนี้:
- การหย่าโดยความยินยอมและการฟ้องหย่า
- การแบ่งสินสมรสและสินส่วนตัว
- การกำหนดอำนาจปกครองบุตรและค่าอุปการะเลี้ยงดู
- การรับรองบุตรและการปฏิเสธความเป็นบิดา
- การสมรสที่เป็นโมฆะและโมฆียะ
- การร่างพินัยกรรมและการวางแผนมรดก
- การร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกและการจัดการกองมรดก
เรามุ่งมั่นที่จะให้คำแนะนำที่ชัดเจนและเป็นกลาง เพื่อช่วยให้ท่านสามารถตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน
การจัดการปัญหาครอบครัวและมรดกในประเทศไทย: แนวทางกฎหมายสำหรับเรื่องละเอียดอ่อน
กฎหมายครอบครัวและมรดกของประเทศไทยอยู่ภายใต้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) บรรพ 5 ว่าด้วยครอบครัว และบรรพ 6 ว่าด้วยมรดก ซึ่งเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่กำหนดกรอบและขั้นตอนการดำเนินการไว้อย่างชัดเจน การดำเนินคดีครอบครัวและมรดกจึงไม่ใช่การต่อสู้ที่อาศัยเพียงอารมณ์ความรู้สึก แต่เป็นการนำเสนอข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์สิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
แนวทางการทำงานของเราให้ความสำคัญกับการรักษาความลับของลูกความและการแสวงหาทางออกที่สร้างสรรค์และเหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการไกล่เกลี่ยเพื่อหาข้อยุติที่เป็นที่พอใจของทุกฝ่าย หรือการดำเนินคดีในศาลเพื่อปกป้องสิทธิอันชอบธรรมของท่าน การมีความเข้าใจในหลักกฎหมายอย่างถ่องแท้เป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม
การหย่าร้างในประเทศไทย: ประเภทและกระบวนการ
การสิ้นสุดการสมรสตามกฎหมายไทยสามารถทำได้ 2 วิธีหลัก คือ การหย่าโดยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย และการหย่าโดยคำพิพากษาของศาล ซึ่งแต่ละวิธีมีขั้นตอนและเงื่อนไขที่แตกต่างกัน
การหย่าโดยความยินยอม
การหย่าโดยความยินยอมเป็นวิธีที่รวดเร็วและเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด แต่จะทำได้ก็ต่อเมื่อคู่สมรสทั้งสองฝ่ายตกลงยินยอมที่จะหย่าขาดจากกัน และสามารถตกลงกันได้ในประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้อง เช่น การแบ่งทรัพย์สิน (สินสมรส) อำนาจปกครองบุตร และค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร กระบวนการนี้ต้องดำเนินการที่สำนักงานเขตหรือที่ว่าการอำเภอ ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1514 และ 1515
คู่สมรสทั้งสองฝ่ายต้องไปปรากฏตัวต่อหน้านายทะเบียนพร้อมกัน และจัดทำบันทึกข้อตกลงการหย่าเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งจะถูกแนบท้ายทะเบียนการหย่า เมื่อลงนามในทะเบียนการหย่า (แบบ คร.6) และได้รับใบสำคัญการหย่า (แบบ คร.7) แล้ว การหย่าจะมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายทันที
การฟ้องหย่า (Contested Divorce) และเหตุแห่งการฟ้องหย่า
ในกรณีที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอมหย่า หรือไม่สามารถตกลงกันในประเด็นสำคัญได้ ฝ่ายที่ต้องการหย่าจะต้องยื่นฟ้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวเพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้หย่า การฟ้องหย่าจะทำได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุแห่งการฟ้องหย่าตามที่กฎหมายกำหนดไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1516 ซึ่งมีหลายประการ เหตุที่พบบ่อยได้แก่:
- (1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ
- (2) สามีหรือภริยาประพฤติชั่ว ไม่ว่าความประพฤตินั้นจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ ถ้าเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง หรือได้รับความดูถูกเกลียดชัง
- (3) สามีหรือภริยาทำร้าย หรือทรมานร่างกายหรือจิตใจ หรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่ง
- (4) สามีหรือภริยาจงใจละทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่งไปเกินหนึ่งปี
- (4/2) สามีและภริยาสมัครใจแยกกันอยู่ เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเป็นเวลาเกินสามปี
- (6) สามีหรือภริยาไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควร หรือทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง
การพิสูจน์เหตุแห่งการฟ้องหย่าเป็นหน้าที่ของฝ่ายโจทก์ ซึ่งต้องนำพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือมาแสดงต่อศาล ศาลฎีกาได้วางแนวทางในการตีความเหตุหย่าแต่ละข้อไว้หลายกรณี เช่น คำพิพากษาฎีกาที่ 2345/2552 ได้วินิจฉัยแยกแยะระหว่าง “การจงใจละทิ้งร้าง” ซึ่งเป็นการกระทำของฝ่ายเดียว กับ “การสมัครใจแยกกันอยู่” ซึ่งต้องเกิดจากความเห็นพ้องของทั้งสองฝ่าย
ฟ้องหย่าต้องเตรียมอะไรบ้าง
การเตรียมตัวที่ดีเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการดำเนินคดีฟ้องหย่า การรวบรวมเอกสารและหลักฐานที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วนจะช่วยให้กระบวนการในชั้นศาลเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ โดยทั่วไป เอกสารที่จำเป็นต้องใช้ในการยื่นฟ้องหย่าต่อศาล มีดังนี้:
- เอกสารประจำตัว:
- บัตรประจำตัวประชาชนของโจทก์ (ฝ่ายที่ฟ้อง)
- ทะเบียนบ้านของโจทก์
- ใบสำคัญการสมรส (ฉบับจริง)
- ใบเปลี่ยนชื่อ-สกุล (ถ้ามี)
- เอกสารเกี่ยวกับบุตร (กรณีมีบุตรร่วมกัน):
- สูติบัตรของบุตรทุกคน
- ทะเบียนบ้านของบุตร
- เอกสารเกี่ยวกับทรัพย์สิน (กรณีมีข้อพิพาทเรื่องสินสมรส):
- โฉนดที่ดิน, หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)
- รายการจดทะเบียนรถยนต์
- สมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร, ใบหุ้น, กรมธรรม์ประกันชีวิต
- สัญญากู้ยืมเงิน หรือเอกสารแสดงภาระหนี้สินร่วมกัน
- พยานหลักฐานที่สนับสนุนเหตุแห่งการฟ้องหย่า:
- หลักฐานการมีชู้ เช่น ภาพถ่าย, ข้อความการสนทนา, บันทึกการใช้โทรศัพท์
- ใบรับรองแพทย์ กรณีถูกทำร้ายร่างกาย
- บันทึกประจำวันของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
- รายชื่อและข้อมูลติดต่อของพยานบุคคลที่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้
การเตรียมเอกสารเหล่านี้ให้พร้อมก่อนปรึกษาทนายความ จะช่วยให้การประเมินรูปคดีและการวางแผนดำเนินคดีเป็นไปอย่างแม่นยำ
ประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการหย่า: สิทธิเลี้ยงดูบุตรและสินสมรส
นอกเหนือจากการสิ้นสุดสถานะการสมรสแล้ว ผลกระทบที่สำคัญที่สุดของการหย่าร้างคือการจัดการเรื่องอำนาจปกครองบุตรและอนาคตทางการเงินของครอบครัว ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับ “อำนาจปกครองบุตร” และการแบ่ง “สินสมรส”
ตามกฎหมายไทย ทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ สินส่วนตัว (Sin Suan Tua) และ สินสมรส (Sin Somros) ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1471 และ 1474 สินส่วนตัวคือทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส หรือได้รับมาโดยทางมรดกหรือการให้โดยเสน่หาในระหว่างสมรส ซึ่งฝ่ายนั้นยังคงเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว ส่วนสินสมรสคือทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส ซึ่งต้องแบ่งกันคนละครึ่งเมื่อหย่าร้าง
สำหรับบุตรผู้เยาว์ ศาลจะพิจารณาตัดสินเรื่องอำนาจปกครองโดยคำนึงถึง “ประโยชน์สูงสุดของบุตร” เป็นสำคัญที่สุด
อำนาจปกครอง–ค่าอุปการะเลี้ยงดู
อำนาจปกครองบุตร (Parental Power) ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1566 หมายถึง สิทธิและหน้าที่ของบิดามารดาในการอุปการะเลี้ยงดู ให้การศึกษา อบรมสั่งสอน และกำหนดที่อยู่ของบุตร ในกรณีหย่าโดยความยินยอม พ่อแม่สามารถตกลงกันได้ว่าใครจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองแต่เพียงผู้เดียว หรือจะใช้ร่วมกันต่อไป
หากเป็นการฟ้องหย่าและไม่สามารถตกลงกันได้ ศาลจะเป็นผู้ชี้ขาด โดยพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น ความสามารถในการดูแลบุตร ความประพฤติของบิดามารดา สภาพแวดล้อม และความผูกพันระหว่างบุตรกับแต่ละฝ่าย ฝ่ายที่ไม่ได้อำนาจปกครองยังคงมีสิทธิเยี่ยมเยียนบุตรได้ตามสมควร
นอกจากนี้ บิดามารดายังมีหน้าที่ร่วมกันรับผิดชอบ ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร (Child Support) จนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ (อายุ 20 ปีบริบูรณ์) ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1564 ศาลสามารถกำหนดจำนวนเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูได้ตามความสามารถของผู้มีหน้าที่ให้และฐานะของผู้รับ ซึ่งเป็นภาระผูกพันที่บังคับใช้ได้ตามกฎหมาย ดังตัวอย่างใน คำพิพากษาฎีกาที่ 4410/2563 ที่ศาลมีคำสั่งให้บิดาชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด
พิพาททรัพย์สินระหว่างคู่สมรส
ข้อพิพาทเรื่องทรัพย์สินเป็นประเด็นที่ซับซ้อนและมักเป็นสาเหตุสำคัญของความขัดแย้งในการหย่าร้าง หลักการสำคัญตาม ป.พ.พ. มาตรา 1533 คือ สินสมรส จะต้องถูกแบ่งคนละครึ่งระหว่างสามีและภริยาเมื่อการสมรสสิ้นสุดลง
สินสมรสครอบคลุมถึงทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันในระหว่างสมรส รวมถึงดอกผลของสินส่วนตัวด้วย การพิสูจน์ว่าทรัพย์สินใดเป็นสินส่วนตัวหรือสินสมรสจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการดำเนินคดี ในทางปฏิบัติ แม้คู่สมรสจะไม่ได้ทำบันทึกข้อตกลงเรื่องทรัพย์สินเป็นลายลักษณ์อักษร แต่หากมีพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าได้ตกลงแบ่งทรัพย์สินกันด้วยวาจาแล้ว ข้อตกลงนั้นก็อาจมีผลผูกพันได้ ดังที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ใน คำพิพากษาฎีกาที่ 566/2556
รับรองบุตร/ปฏิเสธความเป็นบิดา
กฎหมายไทยให้ความคุ้มครองสิทธิของเด็กในการมีบิดาโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีกระบวนการทั้งในการรับรองและปฏิเสธความเป็นบิดา
- การรับรองบุตร (Legitimation): เด็กที่เกิดจากบิดามารดาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน จะเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของมารดาเสมอ แต่จะไม่ใช่บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดา จนกว่าจะมีการดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 1547 คือ (1) บิดามารดาได้สมรสกันในภายหลัง (2) บิดาได้จดทะเบียนรับรองบุตร ณ สำนักงานเขต/อำเภอ หรือ (3) ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร ในกรณีที่บิดาต้องการจดทะเบียนรับรองบุตร แต่เด็กหรือมารดาคัดค้าน บิดาสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้มีคำพิพากษาได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1548
- การปฏิเสธความเป็นบิดา (Denial of Paternity): กฎหมายสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเด็กที่เกิดจากหญิงในระหว่างสมรส หรือภายใน 310 วันนับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลง เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของสามี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1536 หากชายผู้เป็นสามีเชื่อว่าตนไม่ใช่บิดาของเด็ก เขาสามารถฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตรต่อศาลได้ แต่ต้องฟ้องภายใน 1 ปีนับแต่วันที่รู้ถึงการเกิดของเด็ก ตามที่ระบุใน ป.พ.พ. มาตรา 1538
โมฆียะ–โมฆะกรรมในกฎหมายครอบครัว
การสมรสบางกรณีอาจไม่มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย หรืออาจถูกเพิกถอนได้ในภายหลัง ซึ่งแบ่งเป็น 2 กรณี
- การสมรสที่เป็นโมฆะ (Void Marriage): คือการสมรสที่เสียเปล่าและไม่มีผลทางกฎหมายมาตั้งแต่ต้น เสมือนว่าไม่เคยมีการสมรสเกิดขึ้นเลย สาเหตุที่ทำให้การสมรสเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 1495 ได้แก่ การสมรสซ้อน (มาตรา 1452) หรือการสมรสกับญาติสืบสายโลหิตโดยตรง (มาตรา 1450)
- การสมรสที่เป็นโมฆียะ (Voidable Marriage): คือการสมรสที่ยังมีผลสมบูรณ์อยู่จนกว่าจะถูกศาลพิพากษาให้เพิกถอน สาเหตุอาจเกิดจากการสมรสในขณะที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้เยาว์และไม่ได้รับความยินยอม (มาตรา 1448 ประกอบ 1454) การสมรสโดยสำคัญผิดในตัวคู่สมรส (มาตรา 1505) หรือถูกกลฉ้อฉล (มาตรา 1506 การฟ้องขอเพิกถอนการสมรสที่เป็นโมฆียะมีกำหนดระยะเวลาตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
การวางแผนมรดก: ความสำคัญของพินัยกรรม
การทำ พินัยกรรม (Last Will and Testament) เป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่สำคัญที่สุดในการวางแผนส่งต่อทรัพย์สินของท่านไปยังบุคคลที่ท่านต้องการให้ได้รับมรดก การทำพินัยกรรมช่วยให้เจ้าของทรัพย์สิน (ผู้ทำพินัยกรรม) สามารถกำหนดตัวผู้รับมรดกและสัดส่วนของทรัพย์สินได้อย่างชัดเจน ซึ่งจะมีความสำคัญเหนือกว่าการแบ่งมรดกตามลำดับทายาทโดยธรรม
พินัยกรรมแบบธรรมดาตาม ป.พ.พ. มาตรา 1656 จะต้องทำเป็นหนังสือ ลงวัน เดือน ปี ในขณะที่ทำขึ้น และผู้ทำพินัยกรรมต้องลงลายมือชื่อไว้ต่อหน้าพยานอย่างน้อยสองคนพร้อมกัน ซึ่งพยานสองคนนั้นต้องลงลายมือชื่อรับรองลายมือชื่อของผู้ทำพินัยกรรมไว้ในขณะนั้น การจัดทำพินัยกรรมที่ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายกำหนดจะช่วยป้องกันข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทายาทในอนาคตได้
การรับมรดกเมื่อไม่มีพินัยกรรม: ใครคือทายาทโดยธรรม?
ลำดับชั้นของทายาทโดยธรรม 6 ลำดับ
ทายาทโดยธรรมที่เป็นญาติมี 6 ลำดับชั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1629 ดังนี้:
- ผู้สืบสันดาน (บุตร, หลาน, เหลน)
- บิดามารดา
- พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
- พี่น้องร่วมบิดาหรือมารดาเดียวกัน
- ปู่ ย่า ตา ยาย
- ลุง ป้า น้า อา
หลักการสำคัญคือ “ญาติสนิทตัดญาติห่าง” กล่าวคือ ตราบใดที่ยังมีทายาทในลำดับก่อนมีชีวิตอยู่ ทายาทในลำดับถัดลงไปจะไม่มีสิทธิได้รับมรดกเลย ข้อยกเว้นที่สำคัญ คือ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1630 หากมีผู้สืบสันดาน (ลำดับที่ 1) และบิดามารดา (ลำดับที่ 2) ยังมีชีวิตอยู่ บิดามารดาจะยังมีสิทธิได้รับมรดกร่วมกับผู้สืบสันดานด้วย
สิทธิของคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่
หากเจ้ามรดกมีทายาทลำดับชั้น...ที่ยังมีชีวิตอยู่ | คู่สมรสจะได้รับส่วนแบ่งมรดก |
|---|---|
ลำดับที่ 1 (ผู้สืบสันดาน) | ได้ส่วนแบ่งเสมือนหนึ่งว่าเป็นทายาทชั้นบุตร |
ลำดับที่ 2 (บิดามารดา) หรือ ลำดับที่ 3 (พี่น้องร่วมบิดามารดา) | ได้รับมรดกกึ่งหนึ่ง |
ลำดับที่ 4, 5, หรือ 6 | ได้รับมรดกสองในสามส่วน |
ไม่มีทายาทลำดับ 1-6 เลย | ได้รับมรดกทั้งหมด |
ผู้จัดการมรดก (Executor หรือ Administrator) คือบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งโดยพินัยกรรมหรือโดยคำสั่งศาล ให้มีหน้าที่รวบรวม จัดการ และแบ่งปันทรัพย์สินในกองมรดกให้แก่ทายาทผู้มีสิทธิตามกฎหมายหรือตามพินัยกรรม
กระบวนการจัดตั้งผู้จัดการมรดกตามกฎหมายไทย
หน้าที่ของผู้จัดการมรดก
หน้าที่หลักของผู้จัดการมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1719 คือการดำเนินการเพื่อประโยชน์ของกองมรดกโดยรวม ซึ่งรวมถึง:
- จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกและยื่นต่อศาลภายในเวลาที่กำหนด
- รวบรวมทรัพย์สินและสิทธิเรียกร้องต่างๆ ของผู้ตาย
- ชำระหนี้สินของกองมรดก (ถ้ามี)
- ดำเนินการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทที่ถูกต้อง
ความรับผิดของผู้จัดการมรดก
สรุปเส้นทางคดีครอบครัวและมรดก
การจัดการปัญหาทางกฎหมายครอบครัวและมรดกมักมีขั้นตอนที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลา การทำความเข้าใจภาพรวมของกระบวนการจะช่วยให้ท่านเตรียมความพร้อมได้ดียิ่งขึ้น โดยทั่วไป เส้นทางของคดีจะประกอบด้วยขั้นตอนหลักดังนี้:
- การปรึกษาเบื้องต้น: เข้าพบนักกฎหมายเพื่อประเมินข้อเท็จจริง วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย และวางแนวทางเบื้องต้น
- การรวบรวมเอกสารและหลักฐาน: จัดเตรียมเอกสารที่จำเป็นทั้งหมดตามที่ระบุไว้ข้างต้น
- การยื่นคำร้องต่อศาลหรือการจดทะเบียน: เริ่มต้นกระบวนการทางกฎหมายอย่างเป็นทางการ
- กระบวนการในศาล: อาจมีการไกล่เกลี่ยเพื่อนัดเจรจาหาข้อยุติ หรือการสืบพยานในชั้นพิจารณาคดี
- คำพิพากษาและการบังคับคดี: เมื่อศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว จะต้องนำคำพิพากษาไปดำเนินการให้เกิดผลทางกฎหมาย เช่น การจดทะเบียนหย่า หรือการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน
การจัดการมรดก: ผู้จัดการมรดกดำเนินการแบ่งปันทรัพย์สินให้แก่ทายาทจนเสร็จสิ้น
ฝากข้อความ
โปรดกรอกแบบฟอร์มแล้วเราจะติดต่อคุณโดยเร็วที่สุด