พื้นที่ปฏิบัติงานของเรา
คดีเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและดึงดูดนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนของธุรกรรมและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอาจนำไปสู่ข้อพิพาทที่ไม่คาดคิดได้ บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับประเภทของข้อพิพาทด้านอสังหาริมทรัพย์ที่พบบ่อย แนวทางทางกฎหมายในการแก้ไขปัญหา และข้อควรพิจารณาที่สำคัญสำหรับนักลงทุน เพื่อช่วยให้ท่านสามารถปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประเภทของข้อพิพาทด้านอสังหาริมทรัพย์ที่พบบ่อย
ข้อพิพาทด้านอสังหาริมทรัพย์สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ การทำความเข้าใจลักษณะของปัญหาแต่ละประเภทจะช่วยให้สามารถหาแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมได้
ข้อพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์และโฉนดที่ดิน
กรรมสิทธิ์ถือเป็นหัวใจสำคัญของการถือครองอสังหาริมทรัพย์ ข้อพิพาทที่เกี่ยวกับเอกสารสิทธิ์จึงมีความร้ายแรงและซับซ้อน ปัญหาที่พบบ่อย ได้แก่ การออกโฉนดที่ดินทับซ้อนกัน ซึ่งอาจเกิดจากความผิดพลาดในการรังวัดในอดีต, การโอนกรรมสิทธิ์โดยฉ้อฉลหรือใช้เอกสารปลอม และการครอบครองปรปักษ์ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียกรรมสิทธิ์ได้หากปล่อยปละละเลยเป็นเวลานาน
ตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 โฉนดที่ดิน (น.ส. 4 จ.) ถือเป็นเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ที่สมบูรณ์ที่สุด การแก้ไขข้อพิพาทประเภทนี้มักต้องอาศัยกระบวนการทางศาลเพื่อพิสูจน์สิทธิที่แท้จริงและอาจนำไปสู่การเพิกถอนโฉนดที่ออกโดยมิชอบ หรือแก้ไขแนวเขตที่ดินให้ถูกต้อง การตรวจสอบสถานะทางกฎหมายของโฉนดอย่างละเอียดก่อนทำธุรกรรมจึงเป็นขั้นตอนที่จำเป็นอย่างยิ่งเพื่อป้องกันปัญหาเหล่านี้
การผิดสัญญาจะซื้อจะขาย
การผิดสัญญาจะซื้อจะขายเป็นหนึ่งในข้อพิพาทที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ผู้ขายไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ตามกำหนด หรือผู้ซื้อไม่ชำระเงินส่วนที่เหลือตามสัญญา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คู่สัญญาฝ่ายที่ไม่ผิดนัดมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกค่าเสียหายได้
การเยียวยาหลักมีสองแนวทางคือ:
- การบังคับชำระหนี้โดยเฉพาะเจาะจง (Specific Performance): คือการฟ้องให้ศาลบังคับให้อีกฝ่ายปฏิบัติตามสัญญา เช่น บังคับให้ผู้ขายโอนกรรมสิทธิ์
- การเลิกสัญญาและเรียกค่าเสียหาย (Rescission and Damages): คือการยกเลิกสัญญาเพื่อให้คู่สัญญากลับคืนสู่สถานะเดิม พร้อมทั้งเรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการผิดสัญญาของอีกฝ่าย
ในกรณีที่ผู้ซื้อเป็นฝ่ายผิดสัญญา ผู้ขายมักมีสิทธิริบเงินมัดจำ (Earnest Money) ที่วางไว้ในวันทำสัญญาได้ อย่างไรก็ตาม เงินดาวน์ (Down Payment) ที่ผ่อนชำระเป็นงวดๆ หลังวันทำสัญญานั้น โดยหลักกฎหมายแล้วไม่ถือเป็นมัดจำและผู้ขายไม่มีสิทธิริบทั้งหมด ซึ่งจะอธิบายในรายละเอียดต่อไป
ปัญหาการเช่าและขับไล่
ข้อพิพาทระหว่างผู้ให้เช่าและผู้เช่ามักเกี่ยวข้องกับการไม่ชำระค่าเช่า, การใช้ทรัพย์สินผิดวัตถุประสงค์, หรือการไม่คืนเงินประกันการเช่า สำหรับการเช่าอสังหาริมทรัพย์เกินกว่า 3 ปี กฎหมายบังคับให้ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นจะฟ้องร้องบังคับคดีได้เพียง 3 ปีเท่านั้น
ในกรณีที่ผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่า ผู้ให้เช่าไม่สามารถใช้กำลังหรือตัดน้ำตัดไฟเพื่อขับไล่ได้ การกระทำดังกล่าวอาจเป็นความผิดทางอาญาฐานบุกรุก ผู้ให้เช่าต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายเท่านั้น กล่าวคือ ต้องมีหนังสือบอกกล่าวให้ผู้เช่าชำระค่าเช่าที่ค้างภายในระยะเวลาที่กำหนด (ไม่น้อยกว่า 15 วันสำหรับค่าเช่ารายเดือน) ตามมาตรา 560 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หากผู้เช่ายังคงเพิกเฉย จึงจะมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและฟ้องขับไล่ต่อศาลได้
ข้อพิพาทในการก่อสร้างและโครงการพัฒนา
ปัญหาการก่อสร้างล่าช้าหรือส่งมอบทรัพย์สินที่มีความชำรุดบกพร่องเป็นข้อพิพาทที่พบบ่อยระหว่างผู้ซื้อและผู้พัฒนาโครงการ กฎหมายที่เกี่ยวข้องคือบทบัญญัติว่าด้วย “จ้างทำของ” ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และพระราชบัญญัติอาคารชุด
หากผู้พัฒนาโครงการส่งมอบล่าช้ากว่ากำหนดในสัญญา ผู้ซื้อมีสิทธิเรียกค่าปรับเป็นรายวันในอัตราที่กฎหมายกำหนดหรือตามที่ระบุในสัญญา ในกรณีที่พบความชำรุดบกพร่องหลังการส่งมอบ ผู้ซื้อต้องรีบแจ้งให้ผู้ขายทราบเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อเข้ามาแก้ไข โดยกฎหมายได้กำหนดระยะเวลารับประกันขั้นต่ำไว้สำหรับอาคารชุด คือ 5 ปีสำหรับโครงสร้างหลักของอาคาร และ 2 ปีสำหรับส่วนควบหรืออุปกรณ์อื่นๆ
ข้อพิพาทเกี่ยวกับทางภาระจำยอม และทางจำเป็น
ภาระจำยอมคือสิทธิที่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์หนึ่ง (สามยทรัพย์) มีเหนืออสังหาริมทรัพย์อื่น (ภารยทรัพย์) เพื่อประโยชน์ของอสังหาริมทรัพย์ของตน เช่น สิทธิในการใช้ทางผ่านเพื่อออกสู่ทางสาธารณะ สิทธินี้สามารถได้มาโดยทางนิติกรรม (การตกลงและจดทะเบียน) หรือโดยอายุความ คือการใช้ทางโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของสิทธิเป็นเวลา 10 ปีติดต่อกัน
ข้อพิพาทมักเกิดขึ้นเมื่อเจ้าของภารยทรัพย์ทำการปิดกั้นทาง หรือเมื่อเจ้าของสามยทรัพย์ใช้ทางเกินขอบเขตที่ตกลงกันไว้และก่อให้เกิดภาระเพิ่มขึ้น การแก้ไขปัญหามักต้องอาศัยการเจรจาหรือการฟ้องร้องต่อศาลเพื่อยืนยันการมีอยู่ของสิทธิภาระจำยอมและบังคับให้เปิดทาง
โครงการล่าช้า–เรียกเงินคืน: ทางเลือกทางกฎหมาย | Delayed Projects & Refund Claims
หนึ่งในปัญหาที่สร้างความกังวลใจให้แก่ผู้ซื้อคอนโดหรือบ้านในโครงการมากที่สุดคือการที่ผู้พัฒนาโครงการไม่สามารถก่อสร้างให้แล้วเสร็จและส่งมอบได้ตามกำหนดเวลาในสัญญาจะซื้อจะขาย สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ผู้ซื้อต้องแบกรับภาระทางการเงินและเสียโอกาสในการเข้าอยู่อาศัยหรือนำทรัพย์สินไปลงทุนต่อ อย่างไรก็ตาม กฎหมายไทยได้ให้ความคุ้มครองผู้ซื้อในกรณีที่ผู้ขายเป็นฝ่ายผิดสัญญาไว้อย่างชัดเจน
รากฐานทางกฎหมายที่สำคัญในการเรียกร้องสิทธิกรณีนี้คือบทบัญญัติว่าด้วยการเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 386 ถึง 391 เมื่อผู้ขาย (ผู้พัฒนาโครงการ) ผิดนัด ไม่สามารถส่งมอบทรัพย์สินได้ตามกำหนดเวลา ผู้ซื้อในฐานะคู่สัญญาฝ่ายที่ไม่ผิดนัด ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ ผลของการเลิกสัญญาคือคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะต้องกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตามมาตรา 391 ซึ่งหมายความว่าผู้ขายมีหน้าที่ต้องคืนเงินทั้งหมดที่ผู้ซื้อได้ชำระไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเงินจอง เงินทำสัญญา หรือเงินดาวน์ที่ผ่อนชำระมาทั้งหมด นอกจากนี้ ผู้ซื้อยังมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี (หรืออัตราอื่นตามที่กฎหมายกำหนด) ของเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันที่ผู้ขายได้รับเงินนั้นไป
ในการดำเนินการเรียกร้อง ผู้ซื้อจำเป็นต้องรวบรวมพยานหลักฐานที่สำคัญเพื่อพิสูจน์การผิดสัญญาของผู้ขาย ซึ่งประกอบด้วย:
- สัญญาจะซื้อจะขายฉบับสมบูรณ์: เพื่อแสดงกำหนดเวลาส่งมอบที่ตกลงกันไว้
- ใบเสร็จรับเงินทุกฉบับ: ทั้งเงินจอง เงินทำสัญญา และเงินดาวน์ทุกงวด เพื่อเป็นหลักฐานแสดงจำนวนเงินที่ได้ชำระไป
- หนังสือบอกกล่าว (Notice): สำเนาหนังสือที่ผู้ซื้อส่งถึงผู้ขายเพื่อบอกเลิกสัญญาและทวงถามให้คืนเงิน
- หลักฐานการโฆษณา: โบรชัวร์หรือสื่อโฆษณาต่างๆ ของโครงการที่ระบุถึงกำหนดแล้วเสร็จ [6]
- ภาพถ่ายสภาพโครงการ: เพื่อแสดงให้เห็นว่าการก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จจริง ณ วันที่เลยกำหนดสัญญา
โดยทั่วไป กระบวนการทางศาลสำหรับคดีผู้บริโภคในลักษณะนี้อาจใช้เวลาพอสมควร แต่การมีเอกสารหลักฐานที่ครบถ้วนและชัดเจนจะช่วยให้กระบวนการเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น การมีทนายความที่มีประสบการณ์ในการดำเนินคดีประเภทนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับเงินคืนอย่างครบถ้วนพร้อมดอกเบี้ยตามสิทธิที่พึงมี
การฟ้องคดีเพื่อเรียกเงินมัดจำ เงินดาวน์คอนโดคืน กรณีผู้ขายไม่ใช่ฝ่ายผิดสัญญา
หลายคนอาจไม่ทราบว่า แม้โครงการคอนโดจะไม่ได้ผิดสัญญา แต่ในบางสถานการณ์ ผู้ซื้อที่ไม่ต้องการคอนโดแล้วก็สามารถฟ้องเพื่อขอยกเลิกสัญญาและเรียกเงินคืนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินดาวน์ที่ได้ผ่อนชำระไปแล้ว แม้ว่าผู้ซื้อจะเป็นฝ่ายผิดสัญญาเองก็ตาม เช่น กรณีที่ผู้ซื้อกู้สินเชื่อจากธนาคารไม่ผ่าน, ประสบปัญหาทางการเงินทำให้ผ่อนดาวน์ต่อไม่ไหว, หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนใจไม่ต้องการซื้อโครงการนั้นแล้ว
หลักกฎหมายสำคัญที่คุ้มครองผู้ซื้อในสถานการณ์นี้คือความแตกต่างระหว่าง “เงินมัดจำ” และ “เงินดาวน์” รวมถึงอำนาจของศาลในการพิจารณา “เบี้ยปรับ” ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยมีหลักการดังนี้:
- เงินมัดจำ (Earnest Money): หมายถึงเงินที่ผู้ซื้อให้แก่ผู้ขาย “ในวันทำสัญญา” เพื่อเป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญา (ตาม ป.พ.พ. มาตรา 377) หากผู้ซื้อเป็นฝ่ายผิดสัญญา ผู้ขายมีสิทธิริบเงินมัดจำส่วนนี้ได้
- เงินดาวน์ (Down Payment): คือเงินค่างวดที่ผู้ซื้อผ่อนชำระ “หลังจากวันทำสัญญา” ซึ่งตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3301/2547 ถือเป็นเพียง “การชำระราคาค่าทรัพย์สินบางส่วน” และไม่ถือเป็นเงินมัดจำ ดังนั้น โดยหลักแล้วผู้ขายจึงไม่มีสิทธิริบเงินดาวน์เมื่อสัญญาเลิกกัน และต้องคืนให้แก่ผู้ซื้อตามหลักการกลับคืนสู่ฐานะเดิม (ป.พ.พ. มาตรา 391)
- ข้อสัญญาให้ริบเงินดาวน์ในฐานะ “เบี้ยปรับ”: ผู้พัฒนาโครงการส่วนใหญ่มักจะระบุข้อสัญญาไว้ว่า “หากผู้ซื้อผิดสัญญา ยินยอมให้ผู้ขายริบเงินที่ชำระมาแล้วทั้งหมด” ข้อสัญญาในลักษณะนี้มีผลทำให้เงินดาวน์กลายเป็น “เบี้ยปรับ” ตาม ป.พ.พ. มาตรา 379
- อำนาจศาลในการลดเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วน: นี่คือหัวใจสำคัญที่สุด ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหนึ่ง ให้อำนาจศาลในการพิจารณาว่าเบี้ยปรับที่กำหนดไว้นั้น “สูงเกินส่วน” หรือไม่ หากศาลเห็นว่าสูงเกินไป ศาลมีอำนาจสั่งลดเบี้ยปรับลงให้เหลือเป็นจำนวนพอสมควรได้ นอกจากนี้ พระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 ยังให้อำนาจศาลในการพิจารณาและปรับลดข้อตกลงที่ให้ริบมัดจำที่สูงเกินส่วนได้เช่นกัน
ในทางปฏิบัติ ศาลมักจะพิจารณาถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงแก่ผู้ขาย เช่น ค่าเสียโอกาสในการขายให้แก่ลูกค้ารายอื่น และมักจะกำหนดให้ผู้ขายริบเงินได้เพียงบางส่วน และสั่งให้คืนเงินดาวน์ส่วนที่เหลือให้แก่ผู้ซื้อ แม้ว่าศาลอาจไม่คืนเงินเต็มจำนวน แต่ในหลายกรณี ผู้ซื้อสามารถได้รับเงินคืนส่วนหนึ่งซึ่งดีกว่าการสูญเสียเงินดาวน์ทั้งหมดไปโดยเปล่าประโยชน์ การวิเคราะห์โอกาสความสำเร็จในแต่ละคดีต้องอาศัยความเข้าใจในหลักกฎหมายและประสบการณ์ในการดำเนินคดีประเภทนี้ เพื่อนำเสนอข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายให้ศาลเห็นถึงความจำเป็นในการใช้อำนาจลดเบี้ยปรับดังกล่าว
กระบวนการทางกฎหมายในการระงับข้อพิพาท
เมื่อเกิดข้อพิพาทขึ้น มีหลายช่องทางในการดำเนินการเพื่อหาข้อยุติ
- การเจรจาและไกล่เกลี่ย (Negotiation and Mediation): เป็นขั้นตอนแรกที่ควรดำเนินการเพื่อหาทางออกที่เป็นที่พอใจของทั้งสองฝ่ายโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการทางศาล ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย
- อนุญาโตตุลาการ (Arbitration): เป็นทางเลือกในกรณีที่สัญญาระบุให้ใช้วิธีการนี้ในการระงับข้อพิพาท ซึ่งมักจะรวดเร็วกว่าการดำเนินคดีในศาล
- การดำเนินคดีในศาล (Litigation): หากไม่สามารถตกลงกันได้ การยื่นฟ้องต่อศาลเป็นกระบวนการสุดท้ายในการบังคับใช้สิทธิตามกฎหมาย กระบวนการนี้จะเกี่ยวข้องกับการสืบพยานหลักฐานและการพิจารณาของศาล ซึ่งอาจใช้เวลาหลายปีหากมีการอุทธรณ์หรือฎีกา
ความสำคัญของการตรวจสอบสถานะทางกฎหมาย (Due Diligence) เพื่อป้องกันปัญหา
วิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงข้อพิพาทด้านอสังหาริมทรัพย์คือการป้องกันปัญหาตั้งแต่เนิ่นๆ ผ่านการตรวจสอบสถานะทางกฎหมายของทรัพย์สินอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุน กระบวนการนี้ควรประกอบด้วย:
- การตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ที่ดิน ณ กรมที่ดิน: เพื่อยืนยันความเป็นเจ้าของที่แท้จริง ตรวจสอบประวัติการทำนิติกรรม และตรวจสอบว่ามีภาระผูกพันใดๆ เช่น การจำนอง หรือการถูกอายัดหรือไม่
- การตรวจสอบแนวเขตและสภาพที่ดิน: เปรียบเทียบข้อมูลในโฉนดกับสภาพที่ดินจริงเพื่อป้องกันปัญหาเขตแดนทับซ้อนหรือการรุกล้ำ
- การตรวจสอบข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: เช่น ข้อบัญญัติผังเมืองและกฎหมายควบคุมอาคาร เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถใช้ประโยชน์ที่ดินได้ตามวัตถุประสงค์
ท่านสามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการด้านกฎหมายอสังหาริมทรัพย์ของเรา เพื่อให้มั่นใจว่าการลงทุนของท่านจะได้รับการคุ้มครองอย่างดีที่สุด
ข้อควรพิจารณาสำหรับชาวต่างชาติในการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์
กฎหมายไทยมีข้อจำกัดที่สำคัญเกี่ยวกับการถือครองอสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติ ซึ่งเป็นประเด็นที่นักลงทุนต่างชาติต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
- ข้อจำกัดการถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน: โดยหลักแล้ว ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ห้ามมิให้คนต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์ในที่ดิน การใช้ “นอมินี” หรือตัวแทนชาวไทยในการถือครองที่ดินแทนเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและมีความเสี่ยงสูง อาจนำไปสู่โทษทางอาญาและการถูกบังคับให้จำหน่ายที่ดิน
- กรรมสิทธิ์ในอาคารชุด (คอนโดมิเนียม): ชาวต่างชาติสามารถถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุดได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายภายใต้เงื่อนไขของพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 โดยชาวต่างชาติสามารถถือกรรมสิทธิ์รวมกันได้ไม่เกินร้อยละ 49 ของเนื้อที่ของห้องชุดทั้งหมดในอาคารชุดนั้นๆ (โควต้าต่างชาติ)
- การเช่าระยะยาว (Leasehold): เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับชาวต่างชาติในการมีสิทธิใช้ประโยชน์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยสามารถทำสัญญาเช่าได้สูงสุด 30 ปี และต้องจดทะเบียน ณ กรมที่ดิน [8] อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงในการต่ออายุสัญญาเช่าล่วงหน้า (เช่น สัญญา 30+30+30 ปี) นั้น ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับล่าสุดถือว่าไม่มีผลบังคับใช้
- การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบล่าสุด: รัฐบาลไทยมีการพิจารณาปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติอยู่เสมอ เช่น การขยายเพดานการถือครองที่ดินสำหรับธุรกิจที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และแนวคิดการขยายระยะเวลาการเช่าเป็น 99 ปี นักลงทุนควรติดตามการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อย่างใกล้ชิด
สรุป
ข้อพิพาทด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมีความหลากหลายและซับซ้อน ตั้งแต่ปัญหาการผิดสัญญาซื้อขาย, การก่อสร้างล่าช้า, ข้อพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์, ไปจนถึงปัญหาการเช่าและการถือครองทรัพย์สินของชาวต่างชาติ การทำความเข้าใจในสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุด แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้น การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายตั้งแต่เนิ่นๆ คือกุญแจสำคัญในการแก้ไขข้อพิพาทอย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
JIRAWAT & ASSOCIATES มีประสบการณ์ในการให้คำปรึกษาและดำเนินคดีข้อพิพาทอสังหาริมทรัพย์ทั้งสำหรับนักลงทุนไทยและต่างชาติ หากท่านกำลังเผชิญกับปัญหาหรือต้องการคำแนะนำเพื่อป้องกันความเสี่ยงในการลงทุน โปรดติดต่อเราเพื่อรับการประเมินสถานการณ์เบื้องต้น
ฝากข้อความ
โปรดกรอกแบบฟอร์มแล้วเราจะติดต่อคุณโดยเร็วที่สุด