jirawatlawoffice

พื้นที่ปฏิบัติงานของเรา

คดีฟอกเงิน

แนวทางการต่อสู้คดีและการพิสูจน์ที่มาของทรัพย์สิน

สำนักงานกฎหมาย JIRAWAT & ASSOCIATES ให้บริการด้านคำปรึกษาและดำเนินคดีที่เกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (Anti-Money Laundering – AML) ในประเทศไทย ด้วยความเข้าใจในกระบวนการที่ซับซ้อนและความท้าทายที่บุคคลและองค์กรต้องเผชิญเมื่อถูกตรวจสอบโดยหน่วยงานรัฐ เช่น สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) หรือกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เรามุ่งเน้นการให้ข้อมูลที่ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อช่วยให้ท่านเข้าใจสิทธิและเตรียมแนวทางการป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. คดีฟอกเงิน ขั้นตอน สิทธิ และแนวทางต่อสู้

คดีฟอกเงินในประเทศไทยอยู่ภายใต้ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 (พ.ร.บ. ปปง.) ซึ่งเป็นกฎหมายหลักที่กำหนดมาตรการทั้งทางแพ่งและทางอาญาเพื่อตัดวงจรอาชญากรรม

การฟอกเงิน (Money Laundering) ตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ. ปปง. คือการกระทำใดๆ เพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของ “ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด” หรือเพื่อช่วยเหลือผู้กระทำความผิดใน “ความผิดมูลฐาน” ให้พ้นจากความรับผิด

  • ความผิดมูลฐาน (Predicate Offense): คืออาชญากรรมตั้งต้นที่สร้างรายได้หรือทรัพย์สินที่ผิดกฎหมายขึ้นมา พ.ร.บ. ปปง. มาตรา 3 ได้ระบุความผิดมูลฐานไว้กว่า 28 ประเภท เช่น ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด การฉ้อโกงประชาชน การทุจริตต่อหน้าที่ราชการ การจัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต และความผิดตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

ลักษณะของความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปรามปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542

มาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวข้างต้นบัญญัติให้ “ความผิดมูลฐาน” มีความหมายดังต่อไปนี้

    1. ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม ยาเสพติดหรือกฎหมายว่าด้วยมาตรการในการปราบปรามผู้กระท าความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
    2. ความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาในความผิดเกี่ยวกับเพศ เฉพาะที่เกี่ยวกับการเป็นธุระจัดหา ล่อไป พาไป หรือรับไว้เพื่อการอนาจารซึ่งชาย หรือหญิง เพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น หรือความผิดฐานพรากเด็กและผู้เยาว์ เฉพาะที่ เกี่ยวกับการกระท าเพื่อหาก าไรหรือเพื่ออนาจาร หรือโดยทุจริต ซื้อ จำหน่าย หรือ รับตัวเด็กหรือผู้เยาว์ซึ่งถูกพรากนั้น หรือความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี เฉพาะที่เกี่ยวกับการเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไป เพื่อให้บุคคลนั้นกระท าการค้าประเวณี หรือที่เกี่ยวกับการเป็นเจ้าของกิจการ การค้าประเวณี ผู้ดูแลหรือผู้จัดการกิจการค้าประเวณี หรือสถานการค้าประเวณี หรือ เป็นผู้ควบคุมผู้กระท าการค้าประเวณีในสถานการค้าประเวณี
    3. ความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญาหรือ ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน
    4. ความผิดเกี่ยวกับการยักยอกหรือฉ้อโกงหรือประทุษร้ายต่อทรัพย์หรือ กระทำโดยทุจริตตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน หรือกฎหมายว่าด้วย หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ซึ่งกระทำโดยกรรมการ หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใด ซึ่งรับผิดชอบหรือมีประโยชน์เกี่ยวข้องในการดำเนินงานของสถาบันการเงินนั้น
    5. ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ในการยุติธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของ พนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือทุจริต ต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น
    6. ความผิดเกี่ยวกับการกรรโชก หรือรีดเอาทรัพย์ที่กระทำโดยอ้างอำนาจอั้งยี่ หรือซ่องโจรตามประมวลกฎหมายอาญา
    7. ความผิดเกี่ยวกับการลักลอบหนีศุลกากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร
    8. ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา
  • ความผิดเกี่ยวกับการพนันตามกฎหมายว่าด้วยการพนัน เฉพาะความผิด เกี่ยวกับการเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยมีวงเงินใน การกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป หรือเป็นการจัดให้มีการเล่น การพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (พนันออนไลน์)
    1. ความผิดเกี่ยวกับการเป็นสมาชิกอั้งยี่ตามประมวลกฎหมายอาญา หรือ การมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมที่มีกฎหมายกำหนดเป็นความผิด
    2. ความผิดเกี่ยวกับการรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา เฉพาะที่เกี่ยวกับการช่วยจำหน่าย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้ด้วยประการใดซึ่งทรัพย์ที่ได้มาโดย การกระทำความผิดอันมีลักษณะเป็นการค้า
    3. ความผิดเกี่ยวกับการปลอมหรือการแปลงเงินตรา ดวงตรา แสตมป์ และตั๋วตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นการค้า
  • ความผิดเกี่ยวกับการค้าตามประมวลกฎหมายอาญาเฉพาะที่เกี่ยวกับ การปลอม หรือการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของสินค้า หรือ ความผิดตามกฎหมาย ที่เกี่ยวกับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาอันมีลักษณะเป็นการค้า
    1. ความผิดเกี่ยวกับการปลอมเอกสารสิทธิ บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือ หนังสือเดินทางตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระหรือเพื่อการค้า
    2. ความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม โดยการใช้ ยึดถือ หรือครอบครองทรัพยากรธรรมชาติหรือกระบวนการแสวงหาประโยชน์จาก ทรัพยากรธรรมชาติโดยมิชอบด้วยกฎหมายอันมีลักษณะเป็นการค้า
  • ความผิดเกี่ยวกับการประทุษร้ายต่อชีวิตหรือร่างกายจนเป็นเหตุให้ เกิดอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา เพื่อให้ได้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์สิน
    1. ความผิดเกี่ยวกับการหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญาเฉพาะกรณีเพื่อเรียกหรือรับผลประโยชน์หรือเพื่อต่อรองให้ได้รับผลประโยชน์ อย่างใดอย่างหนึ่ง
  • ความผิดเกี่ยวกับการลักทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกงหรือยักยอก ตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ
    1. ความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันเป็นโจรสลัดตามกฎหมายว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการกระทำอันเป็นโจรสลัด
    2. ความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขาย หลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือความผิดเกี่ยวกับ การกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตามกฎหมายว่าด้วยสัญญา ซื้อขายล่วงหน้า หรือความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมที่มีผลกระทบต่อราคา การซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าหรือเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลภายในตามกฎหมายว่าด้วย การซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
  • ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน เฉพาะที่เป็นการค้าอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิด และความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมยุทธภัณฑ์ เฉพาะที่เป็นการค้ายุทธภัณฑ์เพื่อนำไปใช้ในการก่อการร้าย การรบ หรือการสงคราม
  • ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด (Asset Connected with an Offense): มีความหมายกว้าง ครอบคลุมถึงเงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาโดยตรงจากการกระทำความผิดมูลฐาน ทรัพย์สินที่ได้มาจากการจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินเหล่านั้น หรือแม้กระทั่งดอกผลของทรัพย์สินดังกล่าว ไม่ว่าจะเปลี่ยนสภาพหรืออยู่ในความครอบครองของบุคคลใดก็ตาม

การทำความเข้าใจนิยามเหล่านี้เป็นก้าวแรกที่สำคัญในการวางกลยุทธ์ต่อสู้คดี เนื่องจากการดำเนินการของ ปปง. และ DSI จะมุ่งเน้นไปที่การพิสูจน์ความเชื่อมโยงระหว่างทรัพย์สินของท่านกับความผิดมูลฐานเหล่านี้

2. อายัดทรัพย์โดย ปปง. ผู้ถูกกล่าวหาควรทำอย่างไร

เมื่อได้รับหนังสือแจ้งคำสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินจากสำนักงาน ปปง. ถือเป็นสถานการณ์เร่งด่วนที่ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบและทันท่วงที คำสั่งดังกล่าวออกโดย คณะกรรมการธุรกรรม หรือเลขาธิการ ปปง. ซึ่งมีอำนาจสั่งอายัดทรัพย์สินไว้ชั่วคราวได้ไม่เกิน 90 วัน หากมีเหตุอันควรเชื่อว่าทรัพย์สินนั้นเกี่ยวกับการกระทำความผิด

ขั้นตอนที่ควรปฏิบัติทันที:

  1. ตั้งสติและปฏิบัติตามคำสั่ง: ห้ามเคลื่อนย้าย จำหน่าย หรือเปลี่ยนแปลงสภาพทรัพย์สินที่ถูกอายัดโดยเด็ดขาด เพราะอาจเป็นความผิดเพิ่มเติม
  2. ปรึกษาทนายความผู้เชี่ยวชาญทันที: กระบวนการคัดค้านมีกรอบเวลาตามกฎหมายที่จำกัด การดำเนินการที่ล่าช้าอาจทำให้เสียสิทธิในการต่อสู้คดี
  3. วิเคราะห์คำสั่งอายัด: ตรวจสอบรายละเอียดในหนังสือแจ้งให้ถี่ถ้วน เช่น หน่วยงานที่ออกคำสั่ง รายการทรัพย์สินที่ถูกอายัด และเหตุผลเบื้องต้นที่อ้างถึง
  4. รวบรวมและเก็บรักษาเอกสาร: รวบรวมเอกสารทางการเงินและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับที่มาของทรัพย์สินทั้งหมด และห้ามทำลายหรือแก้ไขเอกสารใดๆ

3. คำอธิบายคดีฟอกเงินสำหรับธุรกิจ

ธุรกิจหลายประเภทมีความเสี่ยงที่จะเข้าไปพัวพันกับคดีฟอกเงินโดยไม่เจตนา ผ่านกิจกรรมทางธุรกิจที่ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่กลับเป็นช่องทางที่อาชญากรใช้ประโยชน์ ความเสี่ยงที่พบบ่อย ได้แก่:

  • การรับชำระเงินจากบุคคลที่สาม: การรับโอนเงินจากบัญชีของบุคคลที่ไม่ใช่คู่สัญญาโดยตรง อาจถูกมองว่าเป็นการพยายามปกปิดแหล่งที่มาของเงิน
  • โครงสร้างบริษัทที่ซับซ้อนเกินจำเป็น: การตั้งบริษัทซ้อนกันหลายชั้นโดยไม่มีเหตุผลทางธุรกิจที่ชัดเจน อาจทำให้เกิดความสงสัยว่ามีเจตนาซุกซ่อนผู้รับประโยชน์ที่แท้จริง (Ultimate Beneficial Owner)
  • ธุรกรรมเงินสดมูลค่าสูง: ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเงินสดจำนวนมากมีความเสี่ยงสูง และมีหน้าที่ต้องรายงานธุรกรรมตามที่กฎหมายกำหนด

4. พิสูจน์ที่มาทรัพย์ในคดีฟอกเงิน เอกสารอะไรจำเป็น

หัวใจของการต่อสู้คดีฟอกเงินคือการพิสูจน์ให้ได้ว่าทรัพย์สินที่ถูกอายัดนั้นได้มาโดยสุจริตและมีที่มาที่ไปที่โปร่งใส เอกสารหลักฐานที่จำเป็นต้องรวบรวมและจัดระบบให้ดี ได้แก่:

  • หลักฐานด้านรายได้:
    • สำหรับบุคคล: สัญญาจ้างงาน, สลิปเงินเดือน, เอกสารการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90/91), หลักฐานการนำส่งเงินประกันสังคม
    • สำหรับนิติบุคคล: งบการเงินที่ผ่านการตรวจสอบ, แบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด. 50), แบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ. 30), ใบกำกับภาษี, ใบสั่งซื้อ, สัญญาทางธุรกิจ
  • หลักฐานด้านการลงทุน: เอกสารการซื้อขายหลักทรัพย์, ใบรับรองการถือหุ้น, เอกสารการจ่ายเงินปันผล
  • หลักฐานด้านธุรกรรม:
    • สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์มูลค่าสูง
    • สัญญากู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินที่น่าเชื่อถือ
    • เอกสารยืนยันการโอนเงินระหว่างประเทศ (SWIFT confirmation)
    • รายการเดินบัญชี (Bank Statement) ที่แสดงเส้นทางการเงินอย่างต่อเนื่อง

วิธีการจัดเตรียม: ควรเรียบเรียงเอกสารตามลำดับเวลาเพื่อสร้าง “เรื่องราว” ของเส้นทางการเงินที่ชัดเจน ตั้งแต่การได้มารายได้ การออม การลงทุน จนกระทั่งกลายเป็นทรัพย์สินที่ถูกอายัด การมีคำอธิบายที่เป็นเหตุเป็นผลประกอบเอกสารที่น่าเชื่อถือ จะช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับการคัดค้านได้อย่างมาก

5. คดีแพ่ง คดีอาญาภายใต้คดีฟอกเงิน ต่างกันอย่างไร

กฎหมายฟอกเงินของไทยมีกระบวนการบังคับใช้ 2 แนวทางหลักที่ดำเนินไปพร้อมกันได้ คือ มาตรการทางแพ่งและมาตรการทางอาญา ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นความเสี่ยงที่ผู้ถูกกล่าวหาต้องเผชิญพร้อมกัน

ลักษณะ

มาตรการทางแพ่ง (Civil Forfeiture)

มาตรการทางอาญา (Criminal Prosecution)

เป้าหมายหลัก

ตัวทรัพย์สิน

ตัวบุคคล ผู้กระทำความผิด

วัตถุประสงค์

การร้องขอให้ศาลสั่งให้ ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน

การ ลงโทษผู้กระทำผิด ด้วยโทษจำคุกและ/หรือปรับ

ผู้ดำเนินการ

ปปง. ส่งเรื่องให้ พนักงานอัยการ ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่ง

DSI หรือตำรวจ ส่งสำนวนให้ พนักงานอัยการ สั่งฟ้องต่อศาลอาญา

ภาระการพิสูจน์

พนักงานอัยการพิสูจน์โดยมี หลักฐานน่าเชื่อกว่า (Preponderance of Evidence) ว่าทรัพย์สินเกี่ยวข้องกับความผิด

พนักงานอัยการต้องพิสูจน์จน ปราศจากข้อสงสัยอันสมควร (Beyond a Reasonable Doubt) ว่าจำเลยกระทำผิด

ผลลัพธ์

ศาลมีคำสั่งริบทรัพย์สิน

ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 1-10 ปี หรือปรับ 20,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ต้องมีคำพิพากษาว่าผิดหรือไม่

ไม่จำเป็น ทรัพย์สินอาจถูกริบได้ แม้เจ้าของทรัพย์จะไม่เคยถูกฟ้องหรือศาลยกฟ้องในคดีอาญาก็ตาม

จำเป็น ต้องมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยมีความผิด

ความเข้าใจในความแตกต่างนี้ชี้ให้เห็นว่า แม้ท่านจะมั่นใจว่าสามารถต่อสู้คดีอาญาจนชนะได้ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะสูญเสียทรัพย์สินในคดีแพ่ง ซึ่งมีภาระการพิสูจน์ที่ต่ำกว่ามาก

6. กระบวนการสืบสวนสอบสวนโดยหน่วยงานพิเศษ (DSI และ ปปง.)

เมื่อเกิดคดีที่อาจเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน จะมี 2 หน่วยงานหลักเข้ามามีบทบาท ดังนี้:

  • สำนักงาน ปปง. (AMLO): ทำหน้าที่เป็นหน่วยข่าวกรองทางการเงิน (Financial Intelligence Unit – FIU) วิเคราะห์ธุรกรรมที่น่าสงสัยที่ได้รับรายงานจากสถาบันการเงิน และมีอำนาจในการดำเนินการทางแพ่ง คือการยึด/อายัดทรัพย์สิน และส่งเรื่องให้อัยการฟ้องริบทรัพย์สินให้ตกเป็นของแผ่นดิน
  • กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI): มีอำนาจสืบสวนสอบสวนคดีอาญาที่ซับซ้อนซึ่งถูกกำหนดให้เป็น “คดีพิเศษ” รวมถึงความผิดฐานฟอกเงิน โดยจะรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีอาญากับผู้กระทำผิด

ขั้นตอนภาพรวมของคดี

  1. จุดเริ่มต้น: สถาบันการเงินรายงานธุรกรรมที่น่าสงสัย (Suspicious Transaction Report – STR) ไปยัง ปปง. หรือ DSI/ตำรวจ ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับความผิดมูลฐาน
  2. การวิเคราะห์และตรวจสอบ: ปปง. วิเคราะห์ข้อมูลธุรกรรม หากพบเหตุอันควรสงสัย คณะกรรมการธุรกรรมจะ มีคำสั่งอายัดทรัพย์สินชั่วคราว (ไม่เกิน 90 วัน)
  3. การคัดค้านเบื้องต้น: ผู้ถูกอายัดทรัพย์มีสิทธิยื่นคำร้องคัดค้านพร้อมพยานหลักฐานต่อ ปปง. เพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่ง
  4. การสืบสวนคู่ขนาน:
    • เส้นทางคดีแพ่ง: ปปง. รวบรวมหลักฐานเพิ่มเติม และหากมีมูล จะส่งเรื่องให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลแพ่ง ขอให้ริบทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน
    • เส้นทางคดีอาญา: DSI/ตำรวจ ดำเนินการสืบสวนสอบสวนผู้ต้องหาในความผิดฐานฟอกเงิน และหากมีมูล จะส่งสำนวนให้พนักงานอัยการพิจารณา สั่งฟ้องคดีอาญา
    • กระบวนการในชั้นศาล: คดีแพ่งและคดีอาญาจะถูกพิจารณาในศาลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจมีผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน

7. กลยุทธ์ในการสร้างแนวทางการป้องกันสำหรับคดีการเงินที่ซับซ้อน

การป้องกันคดีฟอกเงินที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยกลยุทธ์ที่รอบด้านและดำเนินการอย่างรวดเร็ว:

  • การประเมินสถานการณ์เบื้องต้น (Early Case Assessment): ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงภายในองค์กรทันที เพื่อค้นหาจุดอ่อนและประเมินความเสี่ยงก่อนที่จะให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่
  • การเก็บรักษาและวิเคราะห์หลักฐาน: กำหนดให้มีการเก็บรักษาเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมด (Document Hold) และให้ทีมกฎหมายวิเคราะห์เส้นทางการเงินเพื่อคาดการณ์แนวทางการสืบสวนของเจ้าหน้าที่
  • การสร้างเรื่องราวของเส้นทางการเงิน (Financial Narrative): จัดทำเอกสารสรุปที่อธิบายที่มาที่ไปของทรัพย์สินอย่างเป็นเหตุเป็นผล โดยอ้างอิงเอกสารหลักฐานที่รวบรวมไว้
  • การใช้ผู้เชี่ยวชาญ: พิจารณาว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบบัญชีเชิงลึก (Forensic Accountant) เพื่อช่วยวิเคราะห์และจัดทำรายงานเส้นทางการเงินที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่ายและน่าเชื่อถือ

8. การปฏิบัติตามกฎหมายเชิงรุก: การลดความเสี่ยงสำหรับองค์กร

วิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงปัญหาคือการป้องกันเชิงรุก องค์กรควรวางระบบการปฏิบัติตามกฎหมาย (AML Compliance Program) ที่แข็งแกร่ง โดยมีองค์ประกอบสำคัญดังนี้ :

  • การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment): ประเมินความเสี่ยงด้านการฟอกเงินที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ลูกค้า และพื้นที่การให้บริการ
  • นโยบายและขั้นตอนปฏิบัติ: จัดทำนโยบายและคู่มือปฏิบัติงานด้าน AML ที่เป็นลายลักษณ์อักษรและได้รับความเห็นชอบจากผู้บริหารระดับสูง
  • การรู้จักลูกค้า (KYC) และการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า (CDD): กำหนดกระบวนการที่ชัดเจนในการพิสูจน์ตัวตนลูกค้าและผู้รับประโยชน์ที่แท้จริง
  • การตรวจสอบอย่างเข้มงวด (ECDD): สำหรับลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูง เช่น บุคคลที่มีสถานภาพทางการเมือง (Politically Exposed Persons – PEPs)
  • การติดตามและรายงานธุรกรรม: มีระบบตรวจสอบธุรกรรมที่ผิดปกติ และกระบวนการรายงานธุรกรรมที่น่าสงสัย (STR) ต่อ ปปง. ตามกฎหมาย
  • การเก็บรักษาข้อมูล: จัดเก็บเอกสาร KYC/CDD และข้อมูลธุรกรรมไว้อย่างน้อย 5-10 ปี

9. สิทธิผู้ถูกยึด/อายัดทรัพย์: ช่องทางคัดค้าน

ผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินที่ถูกยึดหรืออายัดมีสิทธิในการคัดค้านคำสั่งของ ปปง. ตามที่กฎหมายกำหนด

  • ช่องทางการคัดค้าน:
    1. ยื่นคำร้องต่อ ปปง.: ตามมาตรา 48 แห่ง พ.ร.บ. ปปง. ผู้มีส่วนได้เสียสามารถยื่นคำร้องพร้อมพยานหลักฐานต่อคณะกรรมการธุรกรรมเพื่อพิสูจน์ว่าทรัพย์สินนั้นไม่ได้มาจากการกระทำความผิดและขอให้เพิกถอนคำสั่งอายัด
    2. ต่อสู้คดีในชั้นศาล: หาก ปปง. ไม่เพิกถอนคำสั่งและอัยการยื่นคำร้องต่อศาล ผู้มีส่วนได้เสียต้องยื่นคำคัดค้านและนำพยานหลักฐานเข้าสืบในชั้นศาลเพื่อต่อสู้คดี

ข้อควรทำและไม่ควรทำ (Do & Don’t)

  • DO:
    • ติดต่อทนายความทันที
    • รวบรวมเอกสารทางการเงินทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง
    • ปฏิบัติตามคำสั่งอายัดอย่างเคร่งครัด
  • DON’T:
    • พยายามโยกย้ายหรือซุกซ่อนทรัพย์สิน
    • ทำลายเอกสารหลักฐาน
    • ให้การกับเจ้าหน้าที่โดยไม่มีทนายความอยู่ด้วย
    • เพิกเฉยต่อหนังสือแจ้งเตือนหรือกำหนดเวลาของทางราชการ

10. หลักฐานการเงินดิจิทัลในคดีฟอกเงิน

สินทรัพย์ดิจิทัลและคริปโทเคอร์เรนซีได้กลายเป็นเครื่องมือใหม่ในการฟอกเงิน แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างร่องรอยหลักฐานดิจิทัลที่สามารถติดตามได้

  • สถานะทางกฎหมาย: ในประเทศไทย คริปโทเคอร์เรนซีถือเป็น “สินทรัพย์ดิจิทัล” ซึ่งถูกกำกับดูแลภายใต้ พ.ร.ก. การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 โดยมีสำนักงาน ก.ล.ต. เป็นผู้กำกับดูแล
  • หน้าที่ของผู้ประกอบธุรกิจ: ผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล (Exchange) ที่ได้รับใบอนุญาต มีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย ปปง. เช่นเดียวกับสถาบันการเงิน ต้องทำ KYC/CDD กับลูกค้า และรายงานธุรกรรมที่น่าสงสัยต่อ ปปง.
  • การติดตามบนบล็อกเชน (Blockchain Tracing): แม้ธุรกรรมจะดูเหมือนไม่ระบุตัวตน แต่ทุกธุรกรรมถูกบันทึกไว้บนบัญชีสาธารณะ (Public Ledger) อย่างถาวร เจ้าหน้าที่สามารถใช้เครื่องมือวิเคราะห์บล็อกเชนเพื่อติดตามเส้นทางของเงินทุนที่ผิดกฎหมายจากกระเป๋าเงิน (Wallet) หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้

11. ภาพรวมโทษและบทกำหนดโทษในคดีฟอกเงิน

สำหรับคดีอาญา หากศาลพิพากษาว่ามีความผิดฐานฟอกเงิน จะมีบทลงโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างชัดเจน

  • โทษสำหรับบุคคลธรรมดา: ตามมาตรา 60 แห่ง พ.ร.บ. ปปง. ผู้กระทำความผิดฐานฟอกเงินต้องระวาง โทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • ความผิดที่เกี่ยวข้อง:
    • พยายามกระทำความผิด (มาตรา 8): รับโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดสำเร็จ
    • สมคบกันกระทำความผิด (มาตรา 9): หากตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป ต้องระวางโทษกึ่งหนึ่งของโทษที่กำหนดไว้

นอกเหนือจากโทษทางอาญา ผลกระทบที่รุนแรงคือการสูญเสียทรัพย์สินทั้งหมดผ่านกระบวนการทางแพ่ง ความเสียหายต่อชื่อเสียง และโอกาสทางธุรกิจในอนาคต ซึ่งเป็นผลกระทบระยะยาวที่ต้องนำมาพิจารณาในการวางแผนต่อสู้คดี

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

ไม่ควรทำธุรกรรมต่อหรือโอนเงินออกไป ควรติดต่อธนาคารทันทีเพื่อตรวจสอบและแจ้งระงับ และหากสงสัยว่าอาจเป็นเงินที่ผิดกฎหมาย ควรปรึกษาทนายความเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการถูกมองว่าเป็น "บัญชีม้า"

ตามกฎหมาย ปปง. สามารถมีคำสั่งอายัดทรัพย์สินไว้ชั่วคราวได้เป็นเวลาไม่เกิน 90 วัน ในระหว่างนี้ ปปง. จะรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อส่งเรื่องให้อัยการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งริบทรัพย์ต่อไป

ไม่เสมอไป การดำเนินคดีแพ่งเพื่อริบทรัพย์สินเป็นกระบวนการแยกต่างหากและใช้ภาระการพิสูจน์ที่ต่ำกว่า แม้ศาลจะยกฟ้องคดีอาญา แต่หากในคดีแพ่งศาลเชื่อว่าทรัพย์สินนั้นเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ทรัพย์สินก็ยังอาจถูกสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินได้

ไม่ใช่ทุกประเภท แต่ธุรกิจบางกลุ่ม (เช่น ผู้ค้าอัญมณี, นายหน้าอสังหาริมทรัพย์) และสถาบันการเงิน มีหน้าที่ต้องรายงานธุรกรรมเงินสดหรือทรัพย์สินที่มีมูลค่าเกินเกณฑ์ที่กำหนด หรือธุรกรรมใดๆ ที่มีเหตุอันควรสงสัย (Suspicious Transaction) ต่อ ปปง.

ฝากข้อความ

โปรดกรอกแบบฟอร์มแล้วเราจะติดต่อคุณโดยเร็วที่สุด

    Scroll to Top