การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาในไทย: สิ่งที่เจ้าของธุรกิจต้องรู้

ความสำคัญของทรัพย์สินทางปัญญาในการดำเนินการธุรกิจ

การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในประเทศไทย (Trademark Registration Thailand)

เหตุผลที่ควรจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า: เครื่องหมายการค้าเป็นตัวแทนแบรนด์และความน่าเชื่อถือของธุรกิจการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในประเทศไทยจะทำให้ท่านมีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการใช้ชื่อหรือโลโก้นั้นกับสินค้าหรือบริการที่จดทะเบียน และสามารถป้องกันผู้อื่นไม่ให้นำเครื่องหมายที่เหมือนหรือคล้ายไปใช้ในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความสับสนกับธุรกิจของท่าน

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง: เครื่องหมายการค้าในไทยอยู่ภายใต้ พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 (แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎหมายฉบับที่ 2 และ 3) ซึ่งมีหลักการ “จดก่อนใช้” หมายความว่าสิทธิในเครื่องหมายการค้าจะเกิดขึ้นจากการจดทะเบียนเป็นหลักไม่ใช่จากการใช้เหมือนบางประเทศดังนั้นการจดทะเบียนจึงเป็นขั้นตอนสำคัญในการได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเครื่องหมายการค้าที่สามารถจดทะเบียนได้รวมถึงเครื่องหมายการค้า (trademark) สำหรับสินค้าเครื่องหมายบริการ (service mark) สำหรับบริการ เครื่องหมายรับรอง และ เครื่องหมายร่วม โดยเครื่องหมายที่จะจดต้องมีลักษณะบ่งเฉพาะ ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี และไม่ละเมิดเครื่องหมายของผู้อื่นที่มีอยู่เดิม

ผู้ยื่นคำขอต่างชาติ: นักธุรกิจหรือบริษัทต่างชาติสามารถจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในประเทศไทยได้ แต่จะต้องดำเนินการผ่านตัวแทนที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย ตามที่กฎหมายกำหนด ผู้ขอจดจะต้องมอบอำนาจให้บุคคลหรือบริษัทในไทย (เช่น ทนายความหรือบริษัทตัวแทนทรัพย์สินทางปัญญา) เป็นผู้ยื่นคำขอต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญาแทน กระบวนการนี้รวมถึงการจัดเตรียมเอกสารต่าง ๆ เป็นภาษาไทยและมีที่อยู่สำหรับการติดต่อในประเทศไทย

ขั้นตอนและระยะเวลา: การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเริ่มต้นจากการยื่นคำขอ (แบบ พ.ด. 01) ต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา คำขอจะได้รับการตรวจสอบความถูกต้องตามหลักเกณฑ์ทางกฎหมายและตรวจสอบว่าไม่มีเครื่องหมายอื่นใดที่เหมือนหรือคล้ายกันจนสร้างความสับสน หากคำขอผ่านการตรวจสอบเบื้องต้นกรมฯจะประกาศโฆษณาเครื่องหมายเพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกคัดค้าน หากไม่มีการคัดค้านภายในระยะเวลาที่กำหนด เครื่องหมายจึงจะได้รับการจดทะเบียน ระยะเวลาตั้งแต่ยื่นคำขอจนได้รับจดทะเบียนประมาณ 12–18 เดือน หากไม่มีปัญหาหรือการคัดค้านใด ๆ เมื่อจดทะเบียนแล้ว เครื่องหมายการค้าจะได้รับความคุ้มครอง เป็นเวลา 10 ปีนับจากวันยื่นคำขอ และสามารถต่ออายุการคุ้มครองได้ทุก ๆ 10 ปี โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง (ต้องยื่นขอต่ออายุก่อนหมดอายุและชำระค่าธรรมเนียมตามที่กำหนด)

ระบบระหว่างประเทศ: ประเทศไทยเป็นภาคีของระบบการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านานาชาติภายใต้พิธีสารมาดริด (Madrid Protocol) ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้เจ้าของเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนในประเทศสมาชิกมาดริดสามารถยื่นคำขอระหว่างประเทศเพื่อขยายความคุ้มครองมายังประเทศไทยได้โดยไม่ต้องยื่นคำขอตรงต่อแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตาม แม้จะมายื่นผ่านระบบมาดริด กรมทรัพย์สินทางปัญญาของไทยก็ยังคงพิจารณาคำขอตามกฎหมายไทย อยู่ดี และอาจปฏิเสธคำขอหากเครื่องหมายนั้นขัดต่อหลักเกณฑ์ท้องถิ่น นอกจากนี้ ควรจำไว้ว่าเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนในต่างประเทศจะไม่ได้รับความคุ้มครองในประเทศไทยโดยอัตโนมัติ ท่านยังคงต้องดำเนินการจดทะเบียนในประเทศไทยเองเพื่อให้มีสิทธิตามกฎหมายไทย

ประโยชน์จากการจดทะเบียน: เมื่อเครื่องหมายการค้าได้รับการจดทะเบียนในประเทศไทยแล้ว เจ้าของเครื่องหมายจะมีสิทธิ์เด็ดขาดในการใช้เครื่องหมายนั้นกับสินค้าหรือบริการตามที่จดทะเบียน และสามารถดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ละเมิดสิทธิ์ได้โดยทันที ซึ่งรวมถึงสิทธิในการขอคำสั่งศาลให้ระงับการใช้เครื่องหมายที่ละเมิด และเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้ละเมิด นอกจากนี้ การมีทะเบียนเครื่องหมายการค้ายังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือแก่แบรนด์ของท่านในสายตาผู้บริโภคและนักลงทุนอีกด้วย

การคุ้มครองสิทธิบัตรในประเทศไทย (Patent Protection Thailand)

ขอบเขตของสิทธิบัตร: สิทธิบัตรในประเทศไทยให้ความคุ้มครองแก่การประดิษฐ์และการออกแบบผลิตภัณฑ์ ตาม พระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 โดยสิทธิบัตรแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ สิทธิบัตรการประดิษฐ์ (คุ้มครองการประดิษฐ์หรือเทคนิคใหม่ ๆ) อนุสิทธิบัตร (คล้ายกับสิทธิบัตรย่อยหรือ Utility Model สำหรับการประดิษฐ์ที่มีการพัฒนาขึ้นเล็กน้อยหรือไม่มีขั้นการประดิษฐ์ที่สูงมาก) และ สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ (คุ้มครองรูปร่างลักษณะภายนอกของผลิตภัณฑ์) โดย

  • สิทธิบัตรการประดิษฐ์ มีอายุการคุ้มครอง 20 ปี จากวันยื่นคำขอ
  • อนุสิทธิบัตร มีอายุการคุ้มครอง 10 ปี (ช่วงแรกคุ้มครอง 6 ปี นับจากวันยื่นคำขอ และขอต่ออายุได้ 2 ครั้ง ครั้งละ 2 ปี รวมเป็น 10 ปี)
  • สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ มีอายุการคุ้มครอง 10 ปี นับจากวันยื่นคำขอ

เมื่อสิทธิบัตรหมดอายุ งานประดิษฐ์หรือออกแบบนั้นจะตกเป็นสาธารณะ สมใครก็สามารถใช้ได้โดยไม่ถือว่าละเมิด

หลักเกณฑ์ในการขอสิทธิบัตร: การประดิษฐ์ที่จะขอรับสิทธิบัตรในไทยได้ ต้องเป็นการประดิษฐ์ที่ ใหม่ ไม่เคยมีมาก่อน (ระดับความใหม่ของไทยหมายถึง “ไม่มีอยู่ในระดับสากล” หากเคยเปิดเผยที่ใดในโลกก่อนวันยื่นคำขอ สิ่งนั้นจะไม่ถือว่าใหม่) มีขั้นตอนการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น (สำหรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์ ต้องไม่ใช่เรื่องที่ผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ สามารถคิดได้อย่างง่ายดาย) และ สามารถประยุกต์ใช้ในทางอุตสาหกรรมได้ ส่วน อนุสิทธิบัตร จะมีหลักเกณฑ์ที่ผ่อนปรนกว่าเล็กน้อย (ไม่ต้องมีขั้นการประดิษฐ์สูงเท่าสิทธิบัตรการประดิษฐ์ แต่ต้องใหม่และใช้ในอุตสาหกรรมได้เช่นกัน) สำหรับ สิทธิบัตรการออกแบบ งานออกแบบต้องเป็นการสร้างสรรค์รูปทรงหรือลวดลายของผลิตภัณฑ์ที่ใหม่และไม่ซ้ำกับของเดิม
อย่างไรก็ดี กฎหมายไทยมีข้อยกเว้นบางประเภทที่ไม่ให้ขอรับสิทธิบัตรได้ เช่น ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ สูตรหรือกฎต่าง ๆ วิธีการวินิจฉัยบำบัดรักษาโรคมนุษย์หรือสัตว์ และ ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งไทยจัดให้คุ้มครองภายใต้กฎหมายลิขสิทธิ์แทน (หมายความว่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ไม่สามารถจดสิทธิบัตรในไทยได้ แต่จะได้รับความคุ้มครองโดยอัตโนมัติในฐานะงานอันลิขสิทธิ์) ประเภทงานวรรณกรรม

การยื่นขอสิทธิบัตร: การยื่นคำขอสิทธิบัตรต้องยื่นต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา โดยยื่นเป็นภาษาไทย (หากเตรียมเอกสารเป็นภาษาอังกฤษมาจะต้องแปลเป็นไทยประกอบ) คำขอต้องประกอบด้วยคำบรรยายการประดิษฐ์ที่ละเอียด ชัดเจน พร้อมทั้ง ชื่อถือสิทธิ (Claims) ที่ระบุขอบเขตของสิ่งที่ขอคุ้มครอง ผู้ขอต่างชาติส่วนใหญ่มักยื่นสิทธิบัตรในประเทศตนเองก่อน จากนั้นจึงยื่นคำขอสิทธิบัตรในไทยภายใน 12 เดือน นับจากวันที่ยื่นในต่างประเทศ เพื่อเรียกร้องสิทธิความสำคัญ (priority right) ตามอนุสัญญาปารีส (Paris Convention) ทั้งนี้ ประเทศไทยเป็นสมาชิกของความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านสิทธิบัตร (Patent Cooperation Treaty – PCT) ทำให้ผู้ขอสามารถยื่นคำขอระหว่างประเทศผ่านระบบ PCT แล้วเข้าสู่ขั้นตอน National Phase ในประเทศไทยภายในเวลาที่กำหนด เพื่อขอรับสิทธิบัตรไทยโดยอาศัยคำขอระหว่างประเทศเดิม โปรดทราบว่า สิทธิบัตรมีผลคุ้มครองเฉพาะในประเทศที่ได้รับสิทธิบัตรเท่านั้น สิทธิบัตรที่ได้จากต่างประเทศจะไม่มีผลในไทย จึงจำเป็นต้องยื่นคำขอในไทยและได้รับการอนุมัติจากกรมทรัพย์สินทางปัญญาจึงจะเกิดสิทธิในราชอาณาจักร

การตรวจสอบและระยะเวลา: การขอสิทธิบัตร (โดยเฉพาะสิทธิบัตรการประดิษฐ์) อาจใช้เวลาค่อนข้างนาน เพราะต้องผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดโดยพนักงานตรวจสอบสิทธิบัตรของไทย ซึ่งจะตรวจทั้งรูปแบบคำขอและสาระเนื้อหาว่าการประดิษฐ์มีคุณสมบัติครบถ้วนหรือไม่ พนักงานตรวจสอบอาจใช้ข้อมูลสิทธิบัตรต่างประเทศหรือฐานข้อมูลระหว่างประเทศมาประกอบการพิจารณาด้วย ปัจจุบัน มีจำนวนคำขอสิทธิบัตรค้างตรวจจำนวนมาก ทำให้ระยะเวลารอตรวจสอบและออกสิทธิบัตรยาวนานหลายปีในบางกรณี อย่างไรก็ดี กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้พยายามปรับปรุงกระบวนการ เช่น การให้บริการยื่นคำขอและติดตามสถานะทางออนไลน์ และมีโครงการ fast-track เร่งรัดการตรวจสอบสำหรับคำขอบางประเภทหรือภายใต้เงื่อนไขบางประการ เพื่อย่นระยะเวลารอคอย (เช่น โครงการ Patent Fast Track สำหรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์บางสาขา หรือ Petty Patent Fast Track) ผู้ขอควรเตรียมตัวที่จะติดตามสถานะคำขออย่างสม่ำเสมอและตอบข้อโต้แย้งหรือแก้ไขคำขอ (ถ้ามี) ทันทีที่ได้รับแจ้งจากกรมฯ เพื่อไม่ให้เกิดความล่าช้าเพิ่มเติม

สิทธิและการบังคับใช้: เมื่อสิทธิบัตรได้รับการอนุมัติ ท่านจะมีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการผลิต ใช้ ขาย เสนอขาย และนำเข้าผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการตามสิทธิบัตรนั้นในประเทศไทย หากผู้อื่นละเมิดสิทธิบัตร (เช่น ผลิตหรือขายสินค้าที่มีลักษณะตามสิ่งประดิษฐ์ของท่านโดยไม่ได้รับอนุญาต) เจ้าของสิทธิบัตรสามารถดำเนินการทางกฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิของตนได้ โดยทั่วไป การละเมิดสิทธิบัตรจะดำเนินการในทางแพ่งเป็นหลัก คือ ฟ้องร้องต่อศาลให้สั่งห้าม (คำสั่งห้ามชั่วคราว/ถาวร) และเรียกค่าเสียหาย แต่ทั้งนี้กฎหมายสิทธิบัตรไทยก็กำหนดบทลงโทษทางอาญาสำหรับการละเมิดไว้ด้วย (เช่น จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ สำหรับผู้ละเมิดสิทธิบัตรการประดิษฐ์หรืออนุสิทธิบัตร ตามมาตรา 85 แห่ง พ.ร.บ.สิทธิบัตรฯ) แม้การดำเนินคดีสิทธิบัตรทางอาญาจะพบไม่บ่อยนัก แต่ก็แสดงให้เห็นว่ากฎหมายให้ความสำคัญแก่การคุ้มครองสิ่งประดิษฐ์ของผู้ทรงสิทธิ

 

กฎหมายลิขสิทธิ์ในประเทศไทย (Thailand Copyright Law)

การคุ้มครองอัตโนมัติ:  ลิขสิทธิ์อยู่ภายใต้ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ซึ่งให้ความคุ้มครอง งานสร้างสรรค์ดั้งเดิม ตั้งแต่เวลาที่สร้างสรรค์งานขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนก็ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย งานที่ได้รับความคุ้มครองตามลิขสิทธิ์ ได้แก่ งานวรรณกรรม (หนังสือ ข้อเขียน โปรแกรมคอมพิวเตอร์) งานนาฏกรรม งานศิลปกรรม งานดนตรีกรรม งานโสตทัศนวัสดุ (ภาพยนตร์ วิดีโอ) งานสิ่งบันทึกเสียง งานแพร่เสียงแพร่ภาพ และงานอื่น ๆ ในแวดวงวรรณกรรม วิทยาศาสตร์ หรือศิลปะ ไม่ว่าสื่อหรือวิธีการที่ใช้ในการสร้างสรรค์จะเป็นอย่างไร

การจดทะเบียนลิขสิทธิ์(ทางเลือก): แม้กฎหมายจะไม่บังคับให้จดทะเบียน แต่ เจ้าของลิขสิทธิ์สามารถนำผลงานไปลงทะเบียนกับกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ การลงทะเบียนนี้ไม่ได้มีผลให้ “เกิด” ลิขสิทธิ์เพิ่มขึ้น เพราะลิขสิทธิ์มีอยู่โดยอัตโนมัติอยู่แล้ว แต่การลงทะเบียนจะช่วยในการแสดงความเป็นเจ้าของงานอย่างเป็นทางการเมื่อเกิดข้อพิพาทหรือการละเมิดในภายหลัง เพราะมีหลักฐานในทะเบียนของรัฐรองรับ ขั้นตอนการจดทะเบียนลิขสิทธิ์ในไทยไม่ยุ่งยากและค่าธรรมเนียมไม่สูง ดังนั้นหากธุรกิจของท่านมีผลงานที่สำคัญ (เช่น ซอฟต์แวร์ งานออกแบบ สื่อโฆษณา เป็นต้น) การลงทะเบียนไว้ก็เป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา

ระยะเวลาคุ้มครอง: โดยทั่วไป ลิขสิทธิ์ในไทยมีอายุคุ้มครอง ตลอดอายุชีวิตของผู้สร้างสรรค์และอีก 50 ปีหลังจากผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย หากงานมีผู้สร้างสรรค์หลายคนก็ให้นับ 50 ปีหลังจากผู้สร้างสรรค์คนสุดท้ายถึงแก่ความตาย สำหรับงานที่ผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคล (เช่น บริษัท) หรือกรณีงานที่เผยแพร่โดยไม่ปรากฏชื่อผู้สร้างสรรค์หรือใช้นามแฝง ระยะเวลาคุ้มครองจะอยู่ที่ 50 ปีนับแต่เผยแพร่งานสู่สาธารณะ (หรือ 50 ปีนับแต่สร้างงาน หากไม่ได้เผยแพร่ใน 50 ปีแรก) ทั้งนี้หากงานดังกล่าวมีการเผยแพร่ต่อสาธารณะภายหลัง เช่น ภายใน 50 ปีจากการสร้างสรรค์ ก็ให้นับอายุ 50 ปีจากวันที่เผยแพร่

สิทธิแต่เพียงผู้เดียว: เจ้าของลิขสิทธิ์มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการกระทำบางอย่างกับงานที่ได้รับความคุ้มครอง เช่น การทำซ้ำหรือดัดแปลงงาน การเผยแพร่งานต่อสาธารณะ การให้เช่าต้นฉบับหรือสำเนาของโปรแกรมคอมพิวเตอร์และโสตทัศนวัสดุบางประเภท เป็นต้น นอกจากนี้เจ้าของลิขสิทธิ์ยังมีสิทธิอนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิ (เช่น ทำสัญญาอนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์หรือสัญญาอนุญาตให้ทำสิ่งต่อยอด) และมีสิทธิ์ได้รับค่าตอบแทนจากการใช้งานเหล่านั้น การติดสัญลักษณ์ลิขสิทธิ์ (เช่น © พร้อมชื่อเจ้าของผลงานและปีที่สร้างสรรค์) ลงบนงานเป็นวิธีที่ดีในการประกาศความเป็นเจ้าของ แต่ไม่ติดก็ไม่ทำให้เสียสิทธิแต่อย่างใด

การละเมิดและข้อยกเว้น: การกระทำต่อไปนี้ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์หากทำโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของ เช่น การก็อปปี้ ทำซ้ำ ดัดแปลง หรือเผยแพร่งานสู่สาธารณะโดยละเมิดสิทธิ อย่างไรก็ดี กฎหมายลิขสิทธิ์ไทยมีข้อยกเว้นที่ถือว่าไม่เป็นการละเมิดในบางกรณี เช่น การคัดลอกเพื่องานวิจัยหรือศึกษาเฉพาะตน การใช้งานเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือครอบครัว การวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นโดยอ้างอิงงานนั้น การรายงานข่าว หรือการใช้ในการดำเนินคดี เป็นต้น ข้อยกเว้นเหล่านี้มีขอบเขตจำกัดและมุ่งให้เกิดความสมดุลระหว่างการคุ้มครองเจ้าของสิทธิและประโยชน์สาธารณะ การตีความว่าจะเข้าเกณฑ์ข้อยกเว้นหรือไม่อาจต้องพิจารณาตามบริบทและดุลยพินิจของศาล

การบังคับใช้สิทธิลิขสิทธิ์: ผู้ทรงลิขสิทธิ์สามารถบังคับใช้สิทธิได้ทั้งทางแพ่งและอาญา หากมีผู้ละเมิด เช่น นำผลงานไปใช้หรือเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าของสิทธิสามารถ ฟ้องร้องทางแพ่ง เพื่อเรียกค่าเสียหายและขอคำสั่งศาลระงับการละเมิด นอกจากนี้ การละเมิดลิขสิทธิ์อย่างจงใจโดยเฉพาะเพื่อการค้า ยังเป็นความผิดทางอาญาด้วย (ดูรายละเอียดในหัวข้อการบังคับใช้สิทธิด้านล่าง) ซึ่งเจ้าของสิทธิสามารถแจ้งความร้องทุกข์ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีได้

 

การบังคับใช้สิทธิทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศไทย (IP Enforcement Thailand)

ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง: ประเทศไทยมีศาลเฉพาะทางสำหรับพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาโดยตรง เรียกว่า ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง (Intellectual Property and International Trade Court – IP&IT Court) ซึ่งมีเขตอำนาจทั่วราชอาณาจักรในการรับคดีความที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญาทั้งทางแพ่งและอาญา ศาลนี้มีองค์คณะผู้พิพากษาที่ได้รับการอบรมด้านกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาโดยเฉพาะ ทำให้การพิจารณาคดีมีประสิทธิภาพและเข้าใจประเด็นทางเทคนิคได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีกระบวนการพิจารณาที่รวดเร็วกว่าเมื่อเทียบกับคดีในศาลสามัญ เพราะตระหนักถึงความสำคัญของการคุ้มครองสิทธิที่มักต้องการความรวดเร็ว (เช่น การออกคำสั่งห้ามชั่วคราวเพื่อหยุดยั้งการละเมิดทันที)

การดำเนินคดีทางแพ่ง: เจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาที่ถูกละเมิดสามารถยื่นฟ้องคดีแพ่งต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ เพื่อ เรียกร้องค่าเสียหายและขอคำสั่งให้ยุติการละเมิด ได้ มาตรการทางแพ่งที่ศาลอาจให้ความคุ้มครอง ได้แก่ คำสั่งห้ามไม่ให้จำเลยกระทำการละเมิดต่อไป (ทั้งชั่วคราวระหว่างคดีและถาวรหลังคำพิพากษา) การสั่งให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ และการสั่งทำลายสินค้าหรือวัสดุที่ละเมิดสิทธิ การพิจารณาคดีแพ่งในศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ สามารถยื่นขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนได้ เช่น คำสั่งอายัดสินค้าละเมิดระหว่างรอคำพิพากษา หากโจทก์แสดงเหตุอันควรว่า หากรอจนคดีสิ้นสุดอาจเกิดความเสียหายร้ายแรงที่ประเมินค่าไม่ได้

การดำเนินคดีทางอาญา: กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาของไทยกำหนดให้การละเมิดบางประเภทเป็นความผิดอาญา ซึ่งรัฐ (พนักงานอัยการ) สามารถดำเนินคดีกับผู้ละเมิดในนามประชาชน โดยมากแล้ว การละเมิดเครื่องหมายการค้าและลิขสิทธิ์ที่ทำเพื่อการค้า จะเข้าข่ายความผิดอาญา ตัวอย่างเช่น

  • การปลอมเครื่องหมายการค้า (การทำสินค้าปลอมติดยี่ห้อเลียนแบบของแท้) และ การเลียนเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่น ถือเป็นความผิดอาญาภายใต้ พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า ซึ่งผู้กระทำผิดอาจได้รับโทษ จำคุกไม่เกิน 4 ปี หรือปรับไม่เกิน 400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (โทษสูงสุดตามมาตรา 108 ของ พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า) นอกจากนี้ หากเป็นการเลียนเครื่องหมาย (ไม่ถึงขั้นปลอมเหมือนเป๊ะ) โทษจะเบาลงมาที่จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งสองอย่าง (มาตรา 109)
  • การละเมิดลิขสิทธิ์โดยเจตนาเพื่อแสวงหากำไรทางการค้า เช่น การผลิตและจำหน่ายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ (DVD เถื่อน, สินค้าก็อปปี้) เป็นความผิดอาญาตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ ผู้กระทำผิดอาจได้รับโทษ จำคุก 6 เดือนถึง 4 ปี และปรับไม่เกิน 800,000 บาท (กรณีเพื่อการค้า) หากเป็นการละเมิดที่ไม่ได้มีเจตนาเพื่อการค้า (เช่น ทำซ้ำเพื่อใช้ส่วนตัวแต่เกินขอบเขตที่กฎหมายยอมให้) โทษจะเป็นปรับ 20,000–200,000 บาท

ทั้งนี้ เจ้าของสิทธิจะต้อง แจ้งความร้องทุกข์ กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้ดำเนินคดีอาญากับผู้ละเมิด หากคดีไปถึงศาล ศาลสามารถพิพากษาลงโทษจำคุกหรือปรับผู้กระทำผิด และอาจสั่งให้ริบและทำลายของกลางที่ละเมิดด้วย การดำเนินคดีอาญามีข้อดีคือ สามารถหยุดยั้งการละเมิดได้อย่างรวดเร็ว ผ่านการเข้าจับกุมและยึดของกลางของตำรวจ แต่ในด้านค่าเสียหาย ผู้เสียหายจะได้รับเป็นค่าปรับ (ซึ่งรัฐจัดเก็บ) โดยตามกฎหมายไทย ครึ่งหนึ่งของค่าปรับศาลจะสั่งจ่ายให้แก่เจ้าของลิขสิทธิ์ที่เป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญา ซึ่งแตกต่างจากคดีแพ่งที่โจทก์จะได้รับค่าเสียหายเต็มจำนวนตามที่ศาลประเมิน

หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง: การบังคับใช้สิทธิ IP ในไทยเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน นอกจากกรมทรัพย์สินทางปัญญาที่มีบทบาทด้านนโยบายและส่งเสริมความรู้แล้ว ในทางปฏิบัติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเฉพาะหน่วยงานอย่าง กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) มีหน้าที่หลักในการปราบปรามสินค้าและการกระทำละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ตำรวจสามารถดำเนินการสืบสวน แฝงตัวซื้อสินค้าละเมิด และวางแผนบุกจับกุมแหล่งผลิต/จำหน่ายสินค้าเถื่อนได้ นอกจากนี้ กรมศุลกากร ก็มีบทบาทสำคัญในการสกัดกั้น สินค้าละเมิดที่นำเข้า-ส่งออก โดยจัดให้สินค้าที่ละเมิดเครื่องหมายการค้าและลิขสิทธิ์เป็น “ของต้องห้าม” ตามกฎหมายศุลกากร ซึ่งหากตรวจพบจะถูกยึดทำลาย ในปี 2565 กรมศุลกากรได้ออกประกาศให้ เจ้าของเครื่องหมายการค้าหรือลิขสิทธิ์สามารถยื่นคำขอขึ้นทะเบียนข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญา กับกรมศุลกากรโดยตรง (เดิมประสานผ่านกรมทรัพย์สินทางปัญญา) เพื่อให้ศุลกากรตรวจสอบและระงับสินค้าที่สงสัยว่าเป็นของปลอมได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

สภาพแวดล้อมการบังคับใช้ในปัจจุบัน: ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภาครัฐไทยได้แสดงถึงความมุ่งมั่นในการปราบปรามการละเมิด IP อย่างต่อเนื่อง เห็นได้จาก เมื่อปี 2017 สหรัฐอเมริกาได้ปรับสถานะของไทยจากประเทศที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ (Priority Watch List) ลงมาเป็นประเทศที่ถูกจับตามอง (Watch List) เนื่องจากการปรับปรุงด้านการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของไทยดีขึ้น แม้ว่ายังมีสินค้าละเมิดวางขายอยู่ในบางแห่ง (เช่น ตลาดบางที่ในกรุงเทพฯ หรือบนแพลตฟอร์มออนไลน์) แต่ก็มีหลายกรณีที่เจ้าหน้าที่ไทยดำเนินการกวาดล้างอย่างจริงจัง และศาลไทยเองก็มีคำพิพากษาที่เป็นคุณกับเจ้าของสิทธิหลายคดี

ตัวอย่างหนึ่งที่โดดเด่น คือ คดี Luckin Coffee ในปี 2025 ซึ่งเป็นกรณีที่บริษัทกาแฟชื่อดังจากจีน (Luckin Coffee) ฟ้องร้องบริษัทไทยที่เลียนแบบแบรนด์ตน ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ ได้พิพากษาให้ Luckin Coffee ชนะคดี และสั่งให้คู่กรณีชดใช้ค่าเสียหายกว่า 10 ล้านบาท พร้อมทั้งเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่จดเลียนแบบของคู่กรณีในไทย ถือเป็น ค่าสินไหมทดแทนในคดีเครื่องหมายการค้าที่สูงเป็นประวัติการณ์ในไทย และแสดงถึงท่าทีจริงจังของศาลไทยในการปกป้องสิทธิของเจ้าของเครื่องหมายการค้าต่างชาติ คำพิพากษานี้ไม่เพียงช่วยกอบกู้ชื่อเสียงให้บริษัทต่างชาติ แต่ยังสร้างบรรทัดฐานใหม่ที่เตือนให้ผู้ประกอบการไทยตระหนักว่าการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอาจต้องเผชิญบทลงโทษหนัก

อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้กฎหมายจะเกิดประสิทธิผลสูงสุดเมื่อ เจ้าของสิทธิดำเนินการอย่างแข็งขันร่วมด้วย กล่าวคือ ควรจดทะเบียนสิทธิต่าง ๆ ให้ครบถ้วน เฝ้าระวังตรวจสอบตลาด หากพบการละเมิดก็รีบดำเนินการตามกฎหมาย การประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและหน่วยงานรัฐอย่างใกล้ชิดจะช่วยเพิ่มโอกาสในการคุ้มครองสิทธิและปราบปรามการละเมิดได้อย่างเต็มที่

 

การป้องกันและแนวทางเมื่อเกิดการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา

ป้องกันไว้ก่อน: วิธีที่ดีที่สุดในการรับมือกับปัญหาการละเมิดคือการป้องกันล่วงหน้า ธุรกิจควรดำเนินการ จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าและสิทธิบัตรในประเทศไทยตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนหรือพร้อม ๆ กับการเปิดตัวสินค้า/บริการในตลาดไทย เพื่อสร้างสิทธิความคุ้มครองให้เกิดขึ้นตั้งแต่แรกเริ่ม ยิ่งไปกว่านั้น ควรจดโดเมนเนมเว็บไซต์ที่สอดคล้องกับแบรนด์ในไทย เผื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นมา “ฉวยจด” ก่อน และจัดทำ สัญญาจ้างงาน/สัญญากับคู่ค้า ที่มีข้อกำหนดเรื่องการรักษาความลับและทรัพย์สินทางปัญญาอย่างชัดเจน เพื่อลดความเสี่ยงที่ข้อมูลสำคัญหรือ know-how จะรั่วไหลไปยังคู่แข่ง

ตรวจสอบทรัพย์สินทางปัญญาของธุรกิจ: ธุรกิจควรทำ IP audit ทรัพย์สินทางปัญญาที่ตนมีเป็นระยะ ตรวจสอบว่าเครื่องหมายการค้า โลโก้ ชื่อแบรนด์ สโลแกน สิ่งประดิษฐ์ กระบวนการทางเทคนิค ซอฟต์แวร์ เนื้อหา หรือข้อมูลลับทางการค้าใดบ้างที่มีค่า และแน่ใจว่าได้รับการคุ้มครองอย่างเหมาะสมแล้ว การตรวจสอบนี้รวมถึงการทบทวนสัญญากับพนักงานและคู่ค้าต่าง ๆ ว่ามีการระบุเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาชัดเจนหรือไม่ เช่น ผลงานที่สร้างขึ้นโดยพนักงานภายใต้การจ้างงานนั้นตกเป็นทรัพย์สินของบริษัทโดยสมบูรณ์หรือไม่

การเฝ้าระวังตลาด: หลังจากมีการจดทะเบียนสิทธิต่าง ๆ แล้ว ควรติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อค้นหาการละเมิดที่อาจเกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ตรวจสอบสินค้าที่วางขายตามแหล่งท่องเที่ยวหรือห้างสรรพสินค้าว่ามีของปลอมที่ใช้ตราสินค้าของเราหรือไม่ สำรวจแพลตฟอร์มออนไลน์ (เช่น e-commerce, โซเชียลมีเดีย) เพื่อดูว่ามีผู้ขายที่ละเมิดลิขสิทธิ์ (เช่น ขายซอฟต์แวร์เถื่อน) หรือใช้เครื่องหมายการค้าของเราโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ หากธุรกิจของท่านมีเครือข่ายตัวแทนจำหน่าย ควรกำหนดให้ตัวแทนช่วยรายงานการละเมิดที่พบเห็นในพื้นที่ด้วย

ใช้สัญญาและมาตรการป้องกันการรั่วไหล: ข้อมูลลับทางการค้า (trade secrets) เช่น รายชื่อลูกค้า สูตรทางเคมี แผนธุรกิจ ถือเป็นทรัพย์สินทางปัญญาอีกประเภทหนึ่ง แม้ไม่ได้จดทะเบียนแต่กฎหมายไทยก็ให้ความคุ้มครองหากเจ้าของได้ใช้มาตรการป้องกันที่เหมาะสม การทำ สัญญารักษาความลับ (NDA) กับพนักงานและคู่ค้าเป็นมาตรการสำคัญในการป้องกันไม่ให้ข้อมูลสำคัญถูกเปิดเผยโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงการกำหนด ข้อตกลงไม่แข่งขัน (Non-Compete) กับพนักงานระดับสูงหรือคู่ค้าที่ได้รับข้อมูลสำคัญ เพื่อป้องกันการนำความลับไปใช้แข่งขันกับเราในภายหลัง แน่นอนว่ามาตรการเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อธุรกิจมีการจัดเก็บและจำกัดการเข้าถึงข้อมูลสำคัญอย่างเป็นระบบ เช่น ใช้รหัสผ่าน ปรับสิทธิการเข้าถึงข้อมูล และฝึกอบรมพนักงานเรื่องความสำคัญของข้อมูลลับ

เมื่อพบการละเมิดให้รีบดำเนินการ: หากท่านตรวจพบหรือสงสัยว่ามีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของธุรกิจ เช่น เห็นสินค้าลอกเลียนแบบในตลาด มีคนใช้ชื่อ/โลโก้ใกล้เคียงกับแบรนด์ของท่าน หรือพบผลงานของท่านถูกคัดลอกเผยแพร่ ขั้นแรกควรรวบรวมพยานหลักฐาน ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่น ถ่ายภาพสินค้าที่ละเมิด เก็บตัวอย่างสินค้าของปลอมไว้ เก็บบันทึกโฆษณาหรือประกาศขายที่สงสัยว่าเป็นการละเมิด รวมถึงจดบันทึกวันเวลาและสถานที่พบเห็น จากนั้น ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาในไทยโดยทันที เพื่อประเมินสถานการณ์และวางแผนขั้นตอนต่อไป เพราะการดำเนินการที่รวดเร็วและถูกต้องมีผลอย่างมากต่อโอกาสสำเร็จในการระงับการละเมิด

ขั้นตอนเบื้องต้น – จดหมายเตือน: ในหลายกรณี การเริ่มต้นด้วยการส่ง หนังสือบอกเลิกการละเมิด (Cease and Desist Letter) ถึงผู้ละเมิดเป็นแนวทางที่ได้ผล หนังสือดังกล่าวจัดทำโดยทนายความ ในนั้นจะแจ้งถึงสิทธิของท่านที่ถูกละเมิด (เช่น เลขทะเบียนเครื่องหมายการค้าหรือสิทธิบัตร) อธิบายการกระทำของอีกฝ่ายที่ถือว่าละเมิด และเรียกร้องให้ยุติการกระทำนั้นภายในระยะเวลาที่กำหนด มิฉะนั้นจะดำเนินการทางกฎหมายต่อไป บ่อยครั้งผู้ละเมิดโดยเฉพาะรายย่อยหรือผู้ที่ไม่ตั้งใจทำผิดอาจ ยินยอมที่จะหยุดการละเมิด เมื่อได้รับหนังสือเตือน แต่หากอีกฝ่ายเพิกเฉยหรือปฏิเสธ เราจำเป็นต้องพิจารณายกระดับการดำเนินการ

การดำเนินการทางกฎหมาย: หากการเจรจาเบื้องต้นไม่เป็นผล ควรพร้อมที่จะใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเต็มที่ ซึ่งอาจเป็นทั้งทางแพ่งและอาญา ขึ้นอยู่กับประเภทและความร้ายแรงของการละเมิด

  • กรณีที่อีกฝ่ายเป็น ธุรกิจที่มีตัวตนแน่นอน (เช่น บริษัทที่ใช้ชื่อหรือตราสินค้าคล้ายของเรา) การฟ้องคดีแพ่งต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ เพื่อขอคำสั่งศาลให้หยุดการละเมิดและเรียกค่าเสียหายอาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ ศาลสามารถสั่งห้ามจำเลยไม่ให้ใช้ชื่อหรือเครื่องหมายที่ละเมิดต่อไป และสั่งชดใช้ความเสียหายตามมูลค่าที่พิสูจน์ได้
  • กรณีที่เป็น สินค้าเลียนแบบหรือปลอมแปลงจำนวนมาก (เช่น สินค้าปลอมในตลาดหรือโกดังเก็บของปลอม) การดำเนินการทาง อาญาโดยแจ้งความกับตำรวจ อาจเหมาะสมกว่า เนื่องจากตำรวจสามารถขอหมายศาลเพื่อเข้าตรวจค้นและยึดของกลางได้ทันที ลดความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสร้างบทลงโทษเชิงป้องปรามแก่ผู้กระทำผิด

ทั้งนี้ การจะเลือกใช้ช่องทางใดหรือใช้ทั้งสองทางควบคู่กันขึ้นอยู่กับดุลยพินิจและคำแนะนำของทนายผู้เชี่ยวชาญ โดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความรวดเร็วที่ต้องการ ค่าใช้จ่าย โอกาสในการได้รับค่าเสียหาย และสถานะของผู้ละเมิด (บางกรณีผู้ละเมิดอาจเป็นเพียงผู้ค้ารายย่อยที่ไม่มีทรัพย์สินพอจะจ่ายค่าเสียหาย การดำเนินคดีอาญาเพื่อหยุดการกระทำอาจได้ผลดีกว่าการฟ้องแพ่ง)

ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่: หากเลือกดำเนินคดีอาญา การทำงานอย่างใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจมีความสำคัญมาก เจ้าของสิทธิควรจัดหาข้อมูลและหลักฐานให้ตำรวจอย่างเต็มที่ เพื่อช่วยในการสืบสวนและขอหมายค้น นอกจากนี้ กรมทรัพย์สินทางปัญญาอาจช่วยประสานงานในบางกรณี เช่น การตรวจสินค้าของกลางว่าเป็นของปลอมหรือไม่ เป็นต้น สำหรับการป้องกันการนำเข้าส่งออกสินค้าละเมิด เจ้าของสิทธิสามารถขึ้นทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญากับกรมศุลกากร ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น เพื่อให้ด่านศุลกากรช่วยสกัดสินค้าต้องสงสัย หากศุลกากรยึดสินค้าที่คาดว่าเป็นของปลอม เจ้าของสิทธิจะได้รับแจ้งและสามารถยื่นคำร้องขอให้ดำเนินคดีต่อไป

สรุป: การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาในไทยจำเป็นต้องอาศัยทั้ง กลยุทธ์เชิงรุกและเชิงรับ เชิงรุกคือต้องเตรียมการป้องกันล่วงหน้า จดทะเบียนและวางระบบป้องกันการละเมิด ส่วนเชิงรับคือการตอบสนองอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพเมื่อเกิดปัญหา โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเป็นผู้แนะนำและดำเนินการ การรวมสองแนวทางนี้เข้าด้วยกันจะช่วยให้ธุรกิจของท่านสามารถรักษาสิทธิและผลประโยชน์ของตนได้ดีที่สุดในสภาพแวดล้อมการดำเนินธุรกิจของประเทศไทย

คำแนะนำจากสำนักงานกฎหมายสำหรับนักธุรกิจไทยและต่างชาติ

การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศไทยอาจซับซ้อนสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับกฎหมายไทย โดยเฉพาะนักธุรกิจต่างชาติที่อาจเผชิญทั้งอุปสรรคด้านภาษาและขั้นตอนทางกฎหมายที่แตกต่างจากประเทศของตน การได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาในพื้นที่จึงเป็นกุญแจสำคัญ ที่จะช่วยให้มั่นใจว่าท่านจะได้รับความคุ้มครองสูงสุดและดำเนินการต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องตามกรอบของกฎหมายไทย

JIRAWAT&ASSOCIATES LAW OFFICE ในฐานะสำนักงานกฎหมายที่มีประสบการณ์ด้านทรัพย์สินทางปัญญา เราพร้อมให้คำปรึกษาและบริการแก่ทั้งนักธุรกิจไทยและต่างชาติ ไม่ว่าธุรกิจของท่านจะอยู่ในกรุงเทพฯ ชลบุรี พัทยา ระยอง หรือพื้นที่อื่น ๆ ของไทย เราสามารถช่วยเหลือในเรื่อง:

  • การจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา: เราให้บริการตั้งแต่การตรวจค้น (search) เครื่องหมายการค้าเบื้องต้น การเตรียมคำขอสิทธิบัตรที่ถูกต้องตามข้อกำหนดของกรมทรัพย์สินทางปัญญา ไปจนถึงการยื่นคำขอและติดตามสถานะจนจบกระบวนการ นอกจากนี้เรายังสามารถประสานงานการจดทะเบียนในต่างประเทศหรือนานาชาติ (ผ่านระบบ Madrid หรือ PCT) สำหรับลูกค้าที่ต้องการความคุ้มครองหลายประเทศ
  • ที่ปรึกษาด้านสัญญาและการอนุญาตให้ใช้สิทธิ (Licensing): เราช่วยร่างและเจรจาสัญญาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา เช่น สัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิบัตร/ลิขสิทธิ์ สัญญาแฟรนไชส์ หรือสัญญาความร่วมมือด้านเทคโนโลยี เพื่อให้มั่นใจว่าสิทธิของท่านได้รับการคุ้มครองและได้รับผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม
  • การบังคับใช้สิทธิและการระงับข้อพิพาท: หากธุรกิจของท่านประสบปัญหาการละเมิด IP ไม่ว่าจะเป็นการปลอมสินค้า เครื่องหมายการค้าถูกแอบอ้าง หรือทรัพย์สินทางปัญญาถูกใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาต ทีมงานของเราสามารถช่วยวางกลยุทธ์ในการตอบโต้ ตั้งแต่การส่งหนังสือบอกเลิกการละเมิด การเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทนอกศาล จนถึงการดำเนินคดีในชั้นศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ ทั้งทางแพ่งและอาญา เรามีความรู้ความเข้าใจทั้งกฎหมายไทยและแนวทางปฏิบัติที่เป็นสากล จึงพร้อมต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของลูกค้าอย่างเต็มที่

เป้าหมายของเราคือช่วยให้ธุรกิจของท่าน ดำเนินงานในประเทศไทยได้อย่างมั่นใจ โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เรามีความเข้าใจในทั้งมุมมองของนักลงทุนต่างชาติและบริบททางกฎหมายไทย จึงสามารถให้คำแนะนำที่ผสมผสานความเป็นสากลเข้ากับข้อเท็จจริงในท้องถิ่นได้อย่างลงตัว

ปรึกษาเบื้องต้นฟรี โทร. 093-251-4500 – หากท่านมีข้อสงสัยหรือต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศไทย ติดต่อทีมงานของเราเพื่อรับการปรึกษาเบื้องต้นโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เราพร้อมรับฟังสถานการณ์ของท่าน ประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และเสนอแนะแนวทางในการรักษาสิทธิและผลประโยชน์ทางธุรกิจของท่านอย่างมีประสิทธิภาพ

 

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศไทย

ตอบ: จำเป็นต้องจดทะเบียนในประเทศไทยด้วย เพราะสิทธิในเครื่องหมายการค้าและสิทธิบัตรมีผลคุ้มครองตามเขตแดนของประเทศนั้น ๆ การจดทะเบียนในต่างประเทศจะไม่คุ้มครองสิทธิในไทย เจ้าของธุรกิจต่างชาติควรยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าและสิทธิบัตรในประเทศไทย (ผ่านตัวแทนหรือนายทะเบียนท้องถิ่น) เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองภายใต้กฎหมายไทย นอกจากนี้การใช้ระบบระหว่างประเทศ เช่น พิธีสารมาดริด (Madrid Protocol) สำหรับเครื่องหมายการค้า หรือระบบ PCT สำหรับสิทธิบัตร สามารถช่วยให้การยื่นคำขอในไทยสะดวกขึ้น แต่สุดท้ายแล้วเครื่องหมายหรือสิทธิบัตรนั้นจะต้องผ่านการพิจารณาและรับจดทะเบียนโดยกรมทรัพย์สินทางปัญญาของไทย จึงจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายไท

ตอบ: ได้ ชาวต่างชาติหรือนิติบุคคลต่างชาติสามารถจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า สิทธิบัตร หรือทรัพย์สินทางปัญญาอื่น ๆ ในประเทศไทยได้ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องมีที่อยู่หรือตัวแทนในประเทศไทยในการดำเนินการ ซึ่งส่วนใหญ่หมายถึงการว่าจ้างสำนักงานกฎหมายหรือตัวแทนทรัพย์สินทางปัญญาในไทยให้ดำเนินเรื่องให้ เนื่องจากเอกสารคำขอจะต้องจัดทำเป็นภาษาไทย และการติดต่อราชการต้องมีที่อยู่ในประเทศไทย การมีผู้เชี่ยวชาญท้องถิ่นช่วยเหลือจะทำให้กระบวนการจดทะเบียนเป็นไปอย่างราบรื่นและถูกต้องตามขั้นตอน

ตอบ:

  • เครื่องหมายการค้า: คุ้มครองครั้งละ 10 ปีนับจากวันที่ยื่นจดทะเบียน และสามารถต่ออายุได้ทุก ๆ 10 ปีต่อเนื่องไปได้เรื่อย ๆ โดยไม่มีการจำกัดจำนวนครั้งในการต่ออายุ (ตราบเท่าที่ชำระค่าธรรมเนียมและยังมีการใช้เครื่องหมายการค้านั้นอยู่)
  • สิทธิบัตร: สิทธิบัตรการประดิษฐ์คุ้มครอง 20 ปีนับจากวันที่ยื่นคำขอสิทธิบัตร อนุสิทธิบัตรคุ้มครอง 10 ปี (ช่วงแรก 6 ปี และต่ออายุเพิ่มได้อีก 2 ครั้ง ครั้งละ 2 ปี) และสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์คุ้มครอง 10 ปีนับจากวันที่ยื่นคำขอ หมายความว่าหลังสิ้นสุดระยะเวลานี้ สิ่งประดิษฐ์หรือออกแบบดังกล่าวจะไม่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองอีกต่อไป
  • ลิขสิทธิ์: ลิขสิทธิ์เกิดขึ้นทันทีที่สร้างสรรค์งาน และมีอายุคุ้มครองยาวนาน ตลอดอายุผู้สร้างสรรค์และอีก 50 ปีหลังจากนั้น หากผู้สร้างสรรค์เป็นบุคคลธรรมดา แต่ถ้าเป็นนิติบุคคลหรืองานนิรนาม จะคุ้มครอง 50 ปีนับจากวันที่งานถูกเผยแพร่ครั้งแรก (หรือสร้างงาน) ซึ่งระยะเวลาคุ้มครองของลิขสิทธิ์นั้นยาวนานกว่าสิทธิประเภทอื่น

ตอบ: ควรดำเนินการอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด ขั้นแรก รวบรวมหลักฐาน ของการละเมิด เช่น ถ่ายรูปสินค้าปลอม ซื้อสินค้าตัวอย่าง เก็บภาพหน้าจอโฆษณาหรือเว็บไซต์ที่ละเมิด เก็บใบเสร็จหรือข้อมูลการขาย จากนั้น ติดต่อปรึกษาทนายความหรือตัวแทนทรัพย์สินทางปัญญาในไทย ทันที ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยประเมินว่าการกระทำนั้นเข้าข่ายละเมิดสิทธิของท่านหรือไม่ และควรใช้แนวทางใดในการจัดการ
แนวทางทั่วไปอาจเริ่มจาก การส่งจดหมายเตือน (Cease and Desist) ไปยังผู้ละเมิด เพื่อเรียกร้องให้ยุติการกระทำดังกล่าว หากผู้ละเมิดไม่หยุดหรือเพิกเฉย ทนายความอาจแนะนำให้ ดำเนินการทางกฎหมาย เช่น

  • ฟ้องคดีแพ่งต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ เพื่อขอคำสั่งศาลให้หยุดการละเมิดและเรียกค่าเสียหาย หรือ
  • แจ้งความดำเนินคดีอาญาเพื่อให้ตำรวจเข้าจับกุมและยึดของกลาง (เหมาะกับกรณีสินค้าปลอมจำนวนมากหรือการละเมิดที่ชัดเจนและร้ายแรง)

การดำเนินการทางกฎหมายในไทยต้องอาศัยความรู้และความชำนาญด้านกระบวนการยุติธรรมของไทย ดังนั้นการมีทนายความท้องถิ่นที่เชี่ยวชาญอยู่เคียงข้างจะเพิ่มโอกาสในการยุติการละเมิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตอบ: โดยภาพรวมแล้ว ไทยมีการบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาอย่างจริงจังมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา มีทั้งศาลเฉพาะทางสำหรับคดี IP และหน่วยงานตำรวจ/ศุลกากรที่โฟกัสการปราบปรามสินค้าและการกระทำละเมิด อย่างเช่นที่กล่าวถึง ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ สามารถพิจารณาคดีได้อย่างรวดเร็วและมีคำพิพากษาคุ้มครองสิทธิของเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาอย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็มีการลงพื้นที่ตรวจยึดสินค้าละเมิดอยู่เรื่อยๆรวมถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนในการทำบันทึกข้อตกลงเพื่อปราบปรามการละเมิดบนอินเทอร์เน็ต เป็นต้น

อย่างไรก็ดี การจะเห็นผลของการบังคับใช้กฎหมายขึ้นอยู่กับความกระตือรือร้นของเจ้าของสิทธิด้วย หากเจ้าของสิทธิไม่ได้ดำเนินการใด ๆ เมื่อถูกละเมิด หน่วยงานรัฐก็มักจะไม่ทราบปัญหาหรือไม่สามารถช่วยเหลือได้เต็มที่ ดังนั้นผู้ประกอบการควรดำเนินการเชิงรุก ทั้งการจดทะเบียนสิทธิ การเฝ้าระวังตลาด และการประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญหรือเจ้าหน้าที่เมื่อเกิดเหตุ นอกจากนี้ แม้การบังคับใช้จะมีอยู่ แต่สินค้าละเมิดก็อาจยังพบเห็นได้ในบางพื้นที่ การรักษาสิทธิในไทยจึงเสมือนการวิ่งมาราธอนที่ต้องอาศัยความต่อเนื่องและความร่วมมือหลายฝ่าย ธุรกิจต่างชาติที่มีการวางกลยุทธ์ป้องกันดีและได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องมักสามารถปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และกรณีความสำเร็จเช่นคำพิพากษาคดี Luckin Coffee ที่กล่าวมา ก็บ่งชี้ว่า หากเราลงมืออย่างถูกต้องตามกระบวนการและใช้สิทธิตามกฎหมายอย่างเต็มที่ ระบบกฎหมายไทยก็สามารถให้ความยุติธรรมและคุ้มครองเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาได้อย่างเต็มกำลัง

 

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Scroll to Top