เปิดคลินิกเสริมความงามต้องรู้: กฎหมายและขั้นตอนขอใบอนุญาตคลินิก

(Opening a Beauty Clinic: Legal Requirements and Licensing Process)

บทนำ: ประเทศไทยกำลังเติบโตเป็นศูนย์กลางด้านธุรกิจสุขภาพและความงาม โดยมีนักธุรกิจทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้ความสนใจเปิด “คลินิกเสริมความงาม” เป็นจำนวนมาก การเปิดคลินิกความงามนั้นมีโอกาสเติบโตสูง แต่ก่อนจะเริ่มลงมือ สิ่งสำคัญที่สุดคือการปฏิบัติตาม กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินธุรกิจถูกต้อง ปลอดภัย และหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมาย บทความนี้จะอธิบายข้อกฎหมายที่ผู้ประกอบการต้องทราบในการเปิดคลินิกเสริมความงาม ตั้งแต่การขอ ใบอนุญาตสถานพยาบาล เอกสารและขั้นตอนที่จำเป็น ใบประกอบวิชาชีพ ของบุคลากรทางการแพทย์ มาตรฐานสถานที่ตามเกณฑ์กระทรวงสาธารณสุข ตลอดจนข้อควรระวังทางกฎหมายอื่นๆ ในแบบที่เข้าใจง่ายและเป็นกันเอง แต่ยังคงความถูกต้องตามหลักสำนักงานกฎหมายสากล

ความสำคัญของใบอนุญาตสถานพยาบาล

การได้รับ ใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล (Clinic License) เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญยิ่งในการเปิดคลินิกเสริมความงามในประเทศไทย กฎหมายกำหนดไว้ว่าการประกอบกิจการสถานพยาบาล (เช่น คลินิกเวชกรรมหรือคลินิกเสริมความงาม) ต้องมีใบอนุญาต จากกระทรวงสาธารณสุขก่อนเปิดดำเนินการ หากเปิดกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาตจะถือเป็น “คลินิกเถื่อน” ซึ่งมีโทษทางอาญาสูง ตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 ผู้ใดดำเนินการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้หากเกิดความเสียหายต่อผู้รับบริการ เจ้าของกิจการอาจถูกฟ้องร้องทางอาญาและแพ่งได้ ดังนั้นใบอนุญาตสถานพยาบาลเปรียบเสมือนหลักประกันว่าคลินิกของท่านดำเนินการอย่างถูกกฎหมายและปลอดภัยต่อผู้ใช้บริการ

ควรทราบว่าไม่ใช่บริการความงามทุกประเภทจะต้องขอใบอนุญาตสถานพยาบาล หากเป็นบริการเสริมความงามที่ไม่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ (เช่น การทำสปาหรือร้านเสริมสวยทั่วไป) อาจเข้าข่ายสถานประกอบการเพื่อสุขภาพซึ่งมีกฎหมายเฉพาะต่างหาก อย่างไรก็ตาม การทำหัตถการด้านความงามที่มีการใช้เครื่องมือแพทย์ ยา หรือการฉีดสารต่างๆ เช่น โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ เลเซอร์ ฯลฯ ถือเป็นการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ที่ต้องดำเนินการโดยแพทย์ในสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น การเปิด “คลินิกเสริมความงาม” จึงอยู่ภายใต้กฎหมายสถานพยาบาลอย่างชัดเจน ผู้ประกอบการจึงต้องปฏิบัติตามขั้นตอนขอใบอนุญาตอย่างครบถ้วน

กฎหมายที่เกี่ยวข้องในการเปิดคลินิกความงาม

การเปิดคลินิกเสริมความงามในไทยเกี่ยวข้องกับกฎหมายและระเบียบหลายฉบับ กฎหมายหลัก ที่ควรทราบ ได้แก่:

  • พระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 – กฎหมายฉบับนี้ควบคุมการดำเนินการของสถานพยาบาลเอกชนทุกประเภท รวมถึงคลินิกเสริมความงาม กำหนดให้สถานพยาบาลต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการและใบอนุญาตผู้ดำเนินการสถานพยาบาล และวางหลักเกณฑ์ด้านมาตรฐานสถานที่ บุคลากร ตลอดจนบทลงโทษเมื่อมีการฝ่าฝืน (เช่น โทษสำหรับคลินิกเถื่อนดังที่กล่าวไปแล้ว)
  • พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 – หรือที่เรียกว่ากฎหมายแพทย์ กำหนดว่าการประกอบวิชาชีพเวชกรรม (การรักษาทางการแพทย์) ต้องกระทำโดยผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมจากแพทยสภาเท่านั้น หากผู้ใดแอบอ้างเป็นแพทย์หรือรักษาคนไข้โดยไม่มีใบอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ดังนั้นในคลินิกเสริมความงาม ต้องมีแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพเป็นผู้ให้บริการหัตถการทุกครั้ง
  • พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 – กฎหมายสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมสถานที่ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพหรือความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย เช่น การจัดการขยะติดเชื้อ การรักษาสิ่งแวดล้อมภายในคลินิก เป็นต้น ผู้เปิดคลินิกต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดเรื่องสุขลักษณะและอนามัยสิ่งแวดล้อมของกฎหมายนี้ เช่น จัดให้มีระบบกำจัดขยะทางการแพทย์ที่ถูกต้อง (ต้องมีการทำสัญญากับหน่วยงานกำจัดขยะติดเชื้อและแนบหลักฐานในการขอใบอนุญาตด้วย
  • ประกาศ/กฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง – กระทรวงสาธารณสุขได้ออกกฎกระทรวงและประกาศหลายฉบับภายใต้ พ.ร.บ. สถานพยาบาลฯ เพื่อกำหนดรายละเอียดเพิ่มเติม เช่น กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์สถานที่และอุปกรณ์ของสถานพยาบาล ซึ่งผู้เปิดคลินิกต้องยึดถือ (เช่น ขนาดพื้นที่คลินิก ห้องตรวจและห้องหัตถการต้องได้มาตรฐาน มีการแยกสัดส่วนที่ชัดเจน อุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ต้องได้รับอนุมัติจาก อย. และบำรุงรักษาอย่างปลอดภัย) นอกจากนี้ยังมี ประกาศกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เรื่องการโฆษณาสถานพยาบาล พ.ศ. 2562 ซึ่งกำหนดให้การโฆษณาคลินิกหรือสถานพยาบาลใดๆ ต้องได้รับอนุญาตล่วงหน้าจากกรมฯ ก่อนเผยแพร่ และห้ามมีข้อความที่เป็นเท็จหรือโอ้อวดเกินจริง

คุณสมบัติของผู้ประกอบการและใบประกอบวิชาชีพของบุคลากร

ผู้ประกอบการ/เจ้าของคลินิก: โดยหลักแล้ว ผู้ขอใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลจะต้องบรรลุนิติภาวะ (อายุ 20 ปีขึ้นไป) มีสัญชาติไทยหรือมีถิ่นที่อยู่ในไทย และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กฎหมายกำหนด (เช่น ไม่เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยต้องคดีร้ายแรง) ในกรณีที่ผู้ประกอบการเป็นนิติบุคคล บริษัทนั้นต้องจดทะเบียนในประเทศไทยและเป็นไปตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด (เช่น มีคนไทยถือหุ้นเกินกึ่งหนึ่ง หากกิจการนั้นเข้าข่ายตามบัญชีแนบท้ายของ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว) ส่วนนักลงทุนชาวต่างชาติ แม้จะไม่สามารถถือหุ้นเกิน 49% ในธุรกิจสถานพยาบาลได้โดยตรง (เพราะธุรกิจการแพทย์จัดเป็นธุรกิจที่คนไทยยังไม่พร้อมแข่งขัน) แต่ก็สามารถร่วมลงทุนผ่านการจัดตั้งบริษัทกับหุ้นส่วนคนไทย หรือใช้สิทธิ์ตามการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในบางกรณี ดังนั้นนักลงทุนต่างชาติที่สนใจควรปรึกษาที่ปรึกษากฎหมายเพื่อวางโครงสร้างธุรกิจให้ถูกต้องตามกฎหมายไทย

แพทย์ผู้ดำเนินการสถานพยาบาล (Medical Director): คลินิกความงามทุกแห่งต้องมี “แพทย์ผู้ดำเนินการสถานพยาบาล” ซึ่งเป็นแพทย์ที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม ทำหน้าที่ควบคุมดูแลการรักษาและการดำเนินงานทางการแพทย์ของคลินิก แพทย์ผู้นี้จะต้องเป็นผู้ที่ยื่นขอใบอนุญาต ใบอนุญาตผู้ดำเนินการสถานพยาบาล (ซึ่งออกให้แก่แพทย์ในตำแหน่งนี้โดยเฉพาะ) ควบคู่กับใบอนุญาตประกอบกิจการฯ ของเจ้าของคลินิก บทบาทของแพทย์ผู้ดำเนินการมีความสำคัญมากเพราะต้องกำกับมาตรฐานการรักษา ความปลอดภัยของเครื่องมือแพทย์ และตรวจสอบให้แพทย์หรือพนักงานทุกคนปฏิบัติตามจรรยาบรรณวิชาชีพ หากแพทย์ผู้ดำเนินการละเลยหน้าที่ ปล่อยให้มีการรักษาที่ไม่ได้มาตรฐานหรือยอมให้ผู้ที่ไม่ใช่แพทย์มาทำหัตถการแทน แพทย์ผู้ดำเนินการผู้นั้นจะมีความผิดตามกฎหมายด้วย ทั้งแพทยสภาและกรม สบส. (สนับสนุนบริการสุขภาพ) ได้กำหนดบทลงโทษที่เข้มงวดขึ้นในกรณี “แพทย์แขวนป้าย” คือแพทย์ที่ให้ผู้อื่นใช้ชื่อของตนในการเปิดคลินิกแต่ตนเองไม่อยู่ควบคุมจริง ปัจจุบันหากตรวจพบ แพทยสภาจะสั่งพักใช้ใบอนุญาตแพทย์ผู้นั้นอย่างน้อย 1 ปีทันที และหากกระทำผิดซ้ำหลายครั้งอาจโดนเพิกถอนใบอนุญาตถาวร นอกจากนี้ตามกฎหมายสถานพยาบาล เจ้าของคลินิกและแพทย์ที่ยินยอมให้มีการแขวนป้ายจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท อีกด้วย

บุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ: นอกจากแพทย์ผู้ดำเนินการแล้ว คลินิกควรมีทีมแพทย์ผู้ให้บริการ (เช่น แพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังหรือศัลยกรรมตกแต่ง ขึ้นกับบริการของคลินิก) ซึ่งแพทย์ทุกท่านต้องมีใบประกอบวิชาชีพถูกต้อง และปฏิบัติงานภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์ผู้ดำเนินการ สำหรับพยาบาลหรือผู้ช่วยทางการแพทย์ที่ทำหน้าที่ช่วยแพทย์ในห้องหัตถการ ก็ควรมีใบประกอบวิชาชีพพยาบาลหรือใบประกาศนียบัตรที่เกี่ยวข้องตามประเภทงาน นอกจากนี้ ในเวลาทำการของคลินิกต้องมีแพทย์อยู่ประจำเสมอ ห้ามเปิดทำการโดยไม่มีแพทย์อยู่ควบคุมเด็ดขาด หากแพทย์ติดธุระไม่สามารถอยู่ได้ คลินิกจะต้องงดให้บริการ (ปิดชั่วคราว) หรือจัดแพทย์ท่านอื่นมาปฏิบัติหน้าที่แทนและแจ้งหน่วยงานรัฐให้ทราบภายใน 3 วัน กฎข้อนี้สำคัญมากเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย – การปล่อยให้พนักงานทั่วไปทำหัตถการแทนแพทย์ถือว่าผิดกฎหมายร้ายแรงและมีบทลงโทษดังกล่าวแล้ว

การเตรียมสถานที่และมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข

สถานที่ตั้งคลินิก: ก่อนยื่นขอใบอนุญาต ผู้ประกอบการต้องเตรียมสถานที่ที่จะใช้เป็นคลินิกให้พร้อมและตรวจสอบว่าเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด สถานที่นั้นควรเป็นอาคารที่ได้รับอนุญาตใช้งานในเชิงพาณิชย์ (ไม่ใช่อาคารพักอาศัยที่ผิดประเภทการใช้งาน) มีพื้นที่ใช้สอยเพียงพอและจัดแบ่งเป็นสัดส่วนตามข้อกำหนด เช่น มีห้องตรวจและห้องหัตถการที่มิดชิดและสะอาด มีห้องหรือมุมสำหรับเตรียมอุปกรณ์ปราศจากเชื้อ มีบริเวณต้อนรับ/ห้องนั่งรอที่เหมาะสม และห้องน้ำที่ถูกสุขลักษณะ นอกจากนี้ ป้ายชื่อคลินิก ต้องจัดให้มีขนาดและรูปแบบตามที่กฎหมายระบุ โดยป้ายต้องแสดงชื่อคลินิก (ซึ่งต้องได้รับอนุมัติในการจดทะเบียนชื่อสถานพยาบาล) และเมื่อได้รับใบอนุญาตแล้วต้องแสดง เลขที่ใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล บนป้ายอย่างชัดเจน สำหรับคลินิกเสริมความงามมักจัดเป็น “คลินิกเวชกรรมทั่วไป” ป้ายพื้นสีขาว ตัวอักษรสีเขียว ตามมาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดไว้

อุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์: เครื่องมือและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในคลินิกความงามทุกชนิด ต้องผ่านการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น เครื่องเลเซอร์หรือเครื่องมือแพทย์ต้องมีเลขทะเบียนเครื่องมือแพทย์ที่ออกโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ยาที่ใช้ฉีดหรือใช้ในการรักษาต้องเป็นยาที่ขึ้นทะเบียนถูกต้อง และเครื่องสำอางที่ใช้ต้องเป็นเครื่องสำอางที่ได้รับการจดแจ้งถูกต้องและใช้ตามวัตถุประสงค์ที่กฎหมายกำหนด (เช่น เครื่องสำอางใช้ภายนอกเท่านั้น ห้ามนำมาผสมฉีดเข้าสู่ผิวหนัง ตามคำเตือนของ อย.) นอกจากนี้ คลินิกต้องจัดอุปกรณ์ฉุกเฉินขั้นพื้นฐานให้พร้อม เช่น ชุดปฐมพยาบาล ยาเวชภัณฑ์สำหรับกรณีแพ้สารหรือช็อก และเตรียมเครื่องมือให้พร้อมรับมือหากเกิดเหตุฉุกเฉินกับคนไข้

มาตรฐานความสะอาดและความปลอดภัย: คลินิกต้องมีระบบควบคุมความสะอาดถูกสุขลักษณะ เช่น การทำความสะอาดอุปกรณ์และพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ การทำให้เครื่องมือปราศจากเชื้อด้วยวิธีที่ถูกต้อง การจัดเก็บยาและเวชภัณฑ์ในอุณหภูมิที่เหมาะสมและไม่หมดอายุ รวมถึงการจัดการของเสียติดเชื้ออย่างถูกวิธี ผู้ขอใบอนุญาตต้องทำสัญญากับบริษัทรับกำจัดขยะติดเชื้อ และแนบหลักฐานการรับกำจัดขยะมายื่นต่อกระทรวง เพื่อให้มั่นใจว่าของเสียจากคลินิกจะไม่ปนเปื้อนสู่ชุมชน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพยังอาจเข้ามาตรวจสอบมาตรฐานสถานที่ของคลินิกเป็นระยะหลังเปิดดำเนินการ ดังนั้นผู้ประกอบการควรรักษามาตรฐานเหล่านี้อย่างเคร่งครัด

ขั้นตอนการขอใบอนุญาตเปิดคลินิกเสริมความงาม

เมื่อเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรและสถานที่แล้ว ขั้นตอนสำคัญถัดไปคือ การยื่นขอใบอนุญาตสถานพยาบาล อย่างถูกต้องตามระเบียบ โดยสรุปขั้นตอนหลักๆ มีดังนี้:

  1. เตรียมเอกสารประกอบการยื่นขอใบอนุญาต: ผู้ประกอบการต้องกรอกคำขอตามแบบฟอร์มทางราชการ ได้แก่ แบบ ส.พ. 1, ส.พ. 2, ส.พ. 5, ส.พ. 6 และ ส.พ. 18 พร้อมลงนามให้ครบถ้วน นอกจากนี้ต้องรวบรวมเอกสารสำคัญที่จะยื่นประกอบ เช่น สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของผู้ขอประกอบกิจการฯ, สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของแพทย์ผู้ดำเนินการฯ, สำเนาใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแพทย์ของผู้ดำเนินการฯ, ใบรับรองแพทย์ (ตรวจสุขภาพ) ของทั้งผู้ขอฯ และผู้ดำเนินการฯ, รูปถ่ายหน้าตรงของผู้ดำเนินการ (ตามขนาดที่กำหนด), แผนผังแสดงการจัดพื้นที่ภายในคลินิก (Floor Plan), แผนที่ตั้งของคลินิกอย่างละเอียด, สำเนาโฉนดที่ดินหรือสัญญาเช่าสถานที่ตั้งคลินิกพร้อมหลักฐานความยินยอมจากเจ้าของพื้นที่, และหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัท (กรณีดำเนินการในนามนิติบุคคล) เป็นต้น การเตรียมเอกสารควรตรวจสอบให้ครบถ้วนและถูกต้องทุกหน้า เพื่อป้องกันความล่าช้าในการพิจารณา
  2. ยื่นคำขอต่อหน่วยงานที่รับผิดชอบ: สำหรับคลินิกที่จะเปิดในเขตกรุงเทพมหานคร ให้ยื่นคำขอและเอกสารทั้งหมดที่ “สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ” กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี) ซึ่งมีศูนย์บริการแบบ One Stop Service สำหรับเรื่องนี้โดยตรง ส่วนคลินิกในต่างจังหวัด ให้ยื่นที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ กรณีมีข้อสงสัย ผู้ขอสามารถขอรับคำปรึกษาเบื้องต้นจากเจ้าหน้าที่ก่อนยื่นจริง หรือจองคิวปรึกษาผ่านระบบออนไลน์ของกรม สบส. ได้
  3. ตรวจสอบเอกสารและนัดหมายตรวจสถานที่: หลังการยื่นคำขอ เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของเอกสาร หากมีส่วนใดขาดหรือผิดจะให้แก้ไข เมื่อเอกสารผ่านการตรวจเบื้องต้นแล้ว กรม สบส. หรือ สสจ. จะออกใบนัดหมาย “ตรวจสถานพยาบาล” โดยระบุวันเวลาให้คณะเจ้าหน้าที่เข้าตรวจประเมินสถานที่จริงที่คลินิกของผู้ขอ ผู้ขอใบอนุญาตรวมถึงแพทย์ผู้ดำเนินการและผู้เกี่ยวข้องควรอยู่พร้อมหน้าที่คลินิกในวันตรวจตามนัดหมาย (หากผู้ขอใบอนุญาตไม่สามารถมาได้ ต้องทำหนังสือมอบอำนาจให้ผู้อื่นแทน) ในวันตรวจ เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบสถานที่จริงว่าตรงตามแผนผังที่ยื่นไว้และเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดหรือไม่ อาทิ ตรวจขนาดห้อง ความสะอาด ระบบความปลอดภัย เครื่องมือและเวชภัณฑ์ ตลอดจนป้ายชื่อคลินิกว่าจัดทำถูกต้องหรือไม่
  4. ชำระค่าธรรมเนียมและรับใบอนุญาต: หากสถานที่ผ่านการตรวจประเมินเรียบร้อย ผู้ขอจะต้องนำหลักฐานการดำเนินการทั้งหมด เช่น รูปถ่ายด้านหน้าอาคารพร้อมป้ายชื่อคลินิกที่มีเลขที่ใบอนุญาต (ตามที่เจ้าหน้าที่แนะนำหลังตรวจ) มายื่นเพื่อออกใบอนุญาตขั้นสุดท้าย พร้อมชำระค่าธรรมเนียมตามที่กำหนด ค่าใช้จ่ายในการขอใบอนุญาตเปิดคลินิกอยู่ที่ 1,250 บาท แบ่งเป็นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบกิจการ 1,000 บาท และค่าธรรมเนียมใบอนุญาตดำเนินการ 250 บาท โดยจะชำระเมื่อขั้นตอนตรวจสถานที่ผ่านทั้งหมดแล้ว หลังชำระเงินและยื่นหลักฐานครบ ผู้ขอจะได้รับ ใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล และ ใบอนุญาตผู้ดำเนินการสถานพยาบาล (ออกให้บุคคลที่เป็นแพทย์ผู้ดำเนินการ) ถือเป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการเปิดคลินิกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
  5. หลังได้รับใบอนุญาต: ใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลมีอายุ 10 ปี ส่วนใบอนุญาตผู้ดำเนินการสถานพยาบาล (ชื่อแพทย์ผู้รับผิดชอบ) มีอายุ 2 ปี เมื่อครบกำหนดผู้ประกอบการต้องยื่นต่ออายุใบอนุญาตตามรอบดังกล่าวเพื่อให้คลินิกดำเนินการต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ทุกปีจะต้องชำระค่าธรรมเนียมรายปี 500 บาทภายในช่วงตุลาคม-ธันวาคมของปีนั้นๆ ด้วย หากไม่ชำระตามกำหนดจะมีค่าปรับล่าช้าเล็กน้อย ในระหว่างดำเนินกิจการ ผู้ประกอบการต้องรักษามาตรฐานคลินิกให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด เพราะเจ้าหน้าที่อาจเข้าตรวจเยี่ยมเพื่อติดตามผลและตรวจสอบเรื่องร้องเรียน (ถ้ามี) เป็นระยะ

ข้อควรระวังทางกฎหมายและคำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการ

การบริหารคลินิกเสริมความงามให้ประสบความสำเร็จและปลอดภัย ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ต่อไปนี้คือประเด็นสำคัญที่ผู้ประกอบการควรระมัดระวัง:

  • อย่าดำเนินการโดยไม่มีใบอนุญาตหรือใบอนุญาตหมดอายุ: อย่างที่ได้กล่าวไป การเปิดคลินิกโดยไม่มีใบอนุญาตหรือปล่อยให้ใบอนุญาตขาดอายุ เป็นความผิดร้ายแรงที่มีโทษหนักทั้งจำคุกและปรับ นอกจากนั้นทางราชการมีนโยบายเข้มงวดในการปราบปรามคลินิกเถื่อนอย่างจริงจัง มีสายด่วนให้ประชาชนแจ้งเบาะแส (โทร 1426) และมีการบุกตรวจจับอย่างต่อเนื่อง อย่าเสี่ยงดำเนินธุรกิจในด้านมืดเพราะอาจถูกสั่งปิดกิจการทันทีและดำเนินคดีไม่คุ้มกับที่ลงทุนไป
  • ห้ามให้ผู้ไม่มีใบประกอบวิชาชีพทำการรักษา: เจ้าของคลินิกต้องกำกับดูแลไม่ให้บุคคลที่ไม่ใช่แพทย์หรือไม่ได้รับอนุญาต มาทำหัตถการรักษาคนไข้ในคลินิกเด็ดขาด ไม่ว่าจะกรณีใดๆ หากพบว่าคลินิกปล่อยให้มี “หมอเถื่อน” ทำงาน ทั้งตัวผู้แอบอ้างเป็นหมอและผู้ดำเนินการสถานพยาบาลจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทั้งคู่ ไม่มีข้ออ้างว่าไม่รู้เห็นได้เลย เพื่อป้องกันปัญหานี้ ผู้ประกอบการควรคัดกรองบุคลากรอย่างเข้มงวด ตรวจสอบรายชื่อใบประกอบวิชาชีพของแพทย์กับแพทยสภาให้ถูกต้อง และกำชับให้แพทย์ผู้ดำเนินการเอาใจใส่ดูแลมาตรฐานวิชาชีพภายในคลินิกอย่างเคร่งครัด
  • หลีกเลี่ยงการจ้าง “แพทย์แขวนป้าย”: การจ้างแพทย์มาใส่ชื่อในใบอนุญาตแต่ไม่ได้มาปฏิบัติงานจริง (แขวนป้ายไว้เฉยๆ) นอกจากผิดจรรยาบรรณแล้ว ตอนนี้ยังมีโทษหนักทั้งต่อแพทย์และเจ้าของคลินิก ตามที่แพทยสภาและ สบส.ออกกฎลงโทษไว้ ทางที่ดีควรจ้างแพทย์เต็มเวลาหรือพาร์ทไทม์เป็นกะ ที่สามารถอยู่ประจำคลินิกในเวลาทำการได้จริง หากแพทย์มีธุระต้องขาดเวร ต้องจัดแพทย์คนอื่นมาทดแทนและแจ้งหน่วยงานรัฐทันที อย่าให้คลินิกเปิดโดยไม่มีแพทย์ เพราะความเสี่ยงสูงทั้งต่อคนไข้และต่อความรับผิดของท่านเอง
  • การโฆษณาประชาสัมพันธ์ต้องระมัดระวัง: แม้ว่าการตลาดเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจความงาม แต่อย่าลืมว่าการโฆษณาบริการทางการแพทย์ในไทยถูกควบคุมอย่างใกล้ชิด ทุกสื่อโฆษณาที่จะเผยแพร่เกี่ยวกับคลินิกต้องยื่นขออนุญาตจากกรม สบส. ก่อนทุกครั้ง และเนื้อหาต้องไม่โอ้อวดเกินจริงหรือหลอกลวงผู้บริโภค เช่น ห้ามโฆษณาอ้างผลการรักษาว่าหายขาด 100% หรือใช้รูป Before/After ที่เกินจริง กรณีทำโปรโมชั่นลดราคา ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของแพทยสภาด้วย หากฝ่าฝืนคลินิกอาจถูกสั่งระงับโฆษณา ปรับเงิน หรือแม้แต่พักใช้ใบอนุญาตได้ ดังนั้นควรให้ฝ่ายกฎหมายตรวจสอบข้อความโฆษณาและยื่นขออนุญาตก่อนเสมอ
  • สัญญาและความยินยอมของคนไข้: งานบริการเสริมความงามมักเกี่ยวข้องกับความคาดหวังของลูกค้าที่หลากหลาย ผู้ประกอบการควรจัดให้มีการทำ ใบยินยอม (Consent Form) สำหรับหัตถการหรือการรักษาที่มีความเสี่ยง ทุกครั้งก่อนทำการรักษาต้องอธิบายข้อมูลให้คนไข้เข้าใจและลงนามยินยอม ช่วยลดความเสี่ยงปัญหาฟ้องร้องเรื่องความรับผิดหากผลการรักษาไม่เป็นไปตามที่หวัง อีกทั้งควรมี ประกันความรับผิดต่อวิชาชีพ (Professional Liability Insurance) สำหรับคลินิกและแพทย์เพื่อคุ้มครองกรณีเกิดเหตุไม่คาดฝัน
  • กฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง: อาทิ กฎหมายแรงงาน (ว่าจ้างพนักงานในคลินิกต้องปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานเรื่องค่าจ้าง สวัสดิการ การจ้างงานคนต่างด้าวถ้ามี เป็นต้น), กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) เนื่องจากคลินิกจะมีข้อมูลสุขภาพและรูปถ่ายของลูกค้า ควรจัดการข้อมูลส่วนบุคคลอย่างปลอดภัยและขอความยินยอมในการใช้ข้อมูลตามกฎหมาย และ กฎหมายภาษี ที่เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจ (ควรจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและออกใบกำกับภาษีถูกต้องหากมีรายได้ถึงเกณฑ์)

บทสรุป: การเปิดคลินิกเสริมความงามในกรุงเทพฯ เป็นธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตสูงในยุคที่ผู้คนใส่ใจสุขภาพและรูปลักษณ์มากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็มี กฎระเบียบและข้อกฎหมายมากมาย ที่ผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตามให้ครบถ้วน การละเลยข้อกำหนดเล็กๆ น้อยๆ อาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่ทางกฎหมายภายหลังได้ การเตรียมตัวทั้งด้านเอกสาร สถานที่ บุคลากร และความรู้ความเข้าใจในกฎหมายที่เกี่ยวข้องจึงเป็นสิ่งจำเป็น JIRAWAT&ASSOCIATES LAW OFFICE ขอแนะนำให้ผู้สนใจลงทุนคลินิกความงามปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายสุขภาพแต่เนิ่นๆ เพื่อวางแผนธุรกิจอย่างรอบคอบและถูกต้องทุกขั้นตอน หากท่านต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการขอใบอนุญาตหรือข้อกฎหมายในการดำเนินคลินิก

ปรึกษาเบื้องต้นฟรี โทร. 093-251-4500 ทีมงานยินดีให้บริการและคำแนะนำเพื่อความสำเร็จของธุรกิจคุณอย่างยั่งยืน

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

A: ไม่จำเป็นต้องเป็นแพทย์ก็สามารถเปิดคลินิกเสริมความงามได้ แต่กฎหมายกำหนดว่า ต้องมีแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพเป็นผู้ดำเนินการประจำคลินิก และควบคุมการรักษาตลอดเวลา ดังนั้นผู้ประกอบการที่ไม่ใช่แพทย์สามารถเป็นเจ้าของธุรกิจได้ แต่ต้องจ้างหรือร่วมงานกับแพทย์ผู้มีใบอนุญาตเพื่อดำเนินงานทางการแพทย์ของคลินิก ทั้งนี้ชื่อผู้ขอใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลอาจเป็นชื่อของผู้ประกอบการ (บุคคลทั่วไป) ได้ แต่ใบอนุญาตผู้ดำเนินการจะออกให้แก่แพทย์เท่านั้น

A: ชาวต่างชาติสามารถร่วมลงทุนในธุรกิจคลินิกได้ แต่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายการลงทุนของไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว กิจการด้านสถานพยาบาลจัดเป็นธุรกิจที่คนต่างด้าวถือหุ้นเกิน 49% ไม่ได้ เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ (Foreign Business License) หรือได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในสาขาที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นโดยทั่วไปชาวต่างชาติจำเป็นต้องมีผู้ถือหุ้นหรือพันธมิตรเป็นคนไทยอย่างน้อย 51% ในบริษัทที่จะเปิดคลินิก นอกจากนี้ ชาวต่างชาติไม่สามารถประกอบวิชาชีพแพทย์ในไทยได้หากไม่มีใบประกอบวิชาชีพแพทย์ไทย (ซึ่งโดยเงื่อนไขการสอบและใบอนุญาต แทบจะสงวนให้เฉพาะคนไทย) ดังนั้นชาวต่างชาติแม้ลงทุนได้แต่ต้องจ้างแพทย์คนไทยเป็นผู้ดำเนินการและผู้รักษาในคลินิก ส่วนบทบาทของชาวต่างชาติจะจำกัดอยู่ที่การบริหารจัดการทั่วไปหรือที่ปรึกษาทางธุรกิจเท่านั้น

A: ระยะเวลาดำเนินการขึ้นอยู่กับความพร้อมของเอกสารและความสมบูรณ์ของสถานที่ โดยทั่วไปกระบวนการทั้งหมดอาจใช้เวลาประมาณ 1-3 เดือน หากเอกสารครบถูกต้องและสถานที่ผ่านเกณฑ์ในการตรวจครั้งแรก กรมสนับสนุนบริการสุขภาพจะออกใบอนุญาตให้ภายในไม่กี่สัปดาห์หลังตรวจสถานที่ แต่หากมีส่วนที่ต้องแก้ไข (เช่น เอกสารขาดบางอย่างหรือสถานที่ต้องปรับปรุง) ก็อาจยืดเยื้อออกไปอีก ดังนั้นควรเผื่อเวลาไว้ล่วงหน้าและเริ่มดำเนินการแต่เนิ่นๆ เมื่อได้รับใบอนุญาตแล้วก็สามารถเปิดให้บริการได้ทันที แต่ต้องไม่ลืมต่ออายุใบอนุญาตตามกำหนด (ทุก 2 ปีสำหรับใบผู้ดำเนินการฯ และ 10 ปีสำหรับใบประกอบกิจการฯ)

A: การฉีดยาหรือวิตามินเข้าสู่ร่างกายถือเป็นการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ต้องทำโดยแพทย์ในสถานพยาบาลที่มีใบอนุญาตเท่านั้น การรับบริการฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ หรือวิตามินนอกสถานพยาบาล (เช่น ตามบ้านหรือร้านเสริมสวยที่ไม่ได้ขออนุญาตเป็นคลินิก) ถือว่าผิดกฎหมายทั้งหมด ผู้ฉีดที่ไม่ใช่แพทย์จะมีความผิดฐานแอบอ้างเป็นแพทย์ มีโทษถึงจำคุกและปรับ ขณะที่สถานที่ที่ลักลอบให้บริการก็เข้าข่ายคลินิกเถื่อน มีโทษหนักเช่นกัน แม้แต่แพทย์เองก็ไม่สามารถออกไปฉีดหรือรักษานอกสถานพยาบาลที่ไม่ได้รับอนุญาตได้ (ยกเว้นในกรณีออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ตามที่กฎหมายยกเว้น) ดังนั้นผู้ที่สนใจรับบริการความงามควรเข้ารับในคลินิกที่ถูกต้องเท่านั้น และในมุมผู้ประกอบการก็ต้องไม่เสนอบริการนอกสถานที่อย่างผิดกฎหมาย

A: ทำได้แต่ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย ทุกข้อความและสื่อที่ใช้ประชาสัมพันธ์คลินิก (ไม่ว่าจะทางป้ายหน้าร้าน โบรชัวร์ หรือสื่อออนไลน์) ต้องยื่นขออนุมัติการโฆษณาจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพก่อนเผยแพร่ โดยยื่นตัวอย่างสื่อ/ข้อความโฆษณาพร้อมชำระค่าธรรมเนียมเล็กน้อย หากได้รับอนุมัติจึงจะเผยแพร่ได้ นอกจากนี้เนื้อหาโฆษณาต้องเป็นความจริง ไม่กล่าวอ้างเกินจริงหรือสร้างความเข้าใจผิดแก่ผู้บริโภค เช่น ห้ามใช้คำว่า “ดีที่สุด”, “การันตีผล 100%” หรือแจกแจงราคาโปรโมชั่นในลักษณะที่ผิดปกติ ข้อความโฆษณาควรมีลักษณะสุภาพและให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เช่น ระบุว่าคลินิกมีใบอนุญาต ถูกต้องตามกฎหมาย แพทย์มีประสบการณ์ เป็นต้น ทั้งนี้ ชื่อคลินิกและที่อยู่สามารถเผยแพร่ได้โดยไม่ต้องขออนุญาต (ถือเป็นข้อยกเว้นเล็กน้อยของกฎการโฆษณา) แต่หากเพิ่มเติมข้อมูลอื่นใดที่เข้าข่ายชักจูงทางการค้า ก็ต้องผ่านการอนุมัติก่อน ผู้ประกอบการจึงควรปรึกษาฝ่ายกฎหมายในการทำการตลาดเพื่อให้ไม่ขัดต่อกฎกระทรวง

A: ในกรณีที่เกิดเหตุไม่พึงประสงค์ เช่น คนไข้แพ้ยารุนแรงหรือมีภาวะแทรกซ้อนจากหัตถการ คลินิกและแพทย์มีความรับผิดตามกฎหมายทั้งทางแพ่งและอาญา แพทย์ผู้รักษาและแพทย์ผู้ดำเนินการอาจถูกกล่าวหาว่าประมาทเป็นเหตุให้ผู้ป่วยได้รับอันตราย ซึ่งหากพิสูจน์ได้ว่ามีความประมาทจริงอาจถูกฟ้องร้องดำเนินคดีอาญา (เช่น ข้อหากระทำการโดยประมาทฯ) และคนไข้มีสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนทางแพ่งจากทั้งแพทย์และคลินิกได้ ดังนั้นคลินิกควรมีการทำประกันวิชาชีพแพทย์เพื่อรองรับความเสี่ยงดังกล่าว รวมทั้งปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพอย่างเคร่งครัดเพื่อลดโอกาสผิดพลาด กรณีผลการรักษาไม่ตรงตามที่ตกลง (เช่น ไม่สวยขึ้นตามโฆษณา) ถ้าไม่มีการรับประกันผลในการตกลงเบื้องต้น คนไข้ก็อาจร้องเรียนไปยังสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้เช่นกัน ผู้ประกอบการจึงควรสื่อสารกับลูกค้าอย่างตรงไปตรงมาและเก็บบันทึกรายละเอียดการรักษาไว้ทุกครั้ง

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Scroll to Top